พยาธิสรีระ (pathophysiology) หมายถึง กระบวนการทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ของโรค ตัวอย่างเช่น โรคปอดบวม เป็นกลุ่มโรคที่มีพยาธิสรีระ คือ การอักเสบและระคายเคืองของเนื้อเยื่อบางส่วนของปอด ซึ่งก่อให้เกิดอาการต่างๆ มีเม็ดเลือดขาวสูง หรือเจ็บหน้าอก ซึ่งอาจเป็นแพทย์ตรวจพบ หรือผู้ป่วยรู้สึกเองก็ได้ ส่วนสาเหตุของโรคปอดอักเสบอาจเกิดจากเชื้อบักเตรีต่างๆ เช่น streptococcus pneumoniae, klebsiella pneumoniae, pseudomonas aeruginosa หรือไวรัสต่างๆ ดังนั้น ก่อนที่จะรู้สาเหตุ แพทย์อาจให้การรักษาตามอาการไปก่อน และค้นหาชนิดของเชื้อที่เจาะจงต่อไปเพื่อรักษาให้หายขาด
ในทำนองเดียวกันโรคจิตเภทเป็นโรคที่มีอาการต่างๆ มากมายซึ่งเราบำบัดได้โดยไม่ได้ทำให้โรคหาย การวิจัยยังพยายามหาพยาธิสรีระที่ก่อให้เกิดอาการอยู่ตลอดมา แม้ว่ายังสรุปไม่ได้ แต่ก็ได้สมมติฐานหลายข้อที่ทำให้เรารักษาโรคจิตเภทได้เจาะจงขึ้น
มีสมมมุติฐานของปัจจัยด้านพยาธิสรีระวิทยาอยู่หลายประการ ที่สำคัญคือสมมุติฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสื่อประสาทในสมอง ได้แก่ระบบโดปามีน และกลูตาเมท
ก. สมมติฐาน
dopamine
โดปามีเป็นสารสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทที่พบมากในบางบริเวณของสมอง
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องหลายด้านตามส่วนต่างๆ ของสมอง เช่น
การเคลื่อนไหว ความคิด ความสมาธิความสนใจ
แรงกระตุ้นและความพึงพอใจ เป็นต้น
ในช่วงศริสต์ทษวรรษ 1960
นักวิจัยเชื่อกันว่าภาวะที่ระบบโดปามีนทำงานมากเกินไปก่อให้เกิดอาการของโรคจิตเภท
จากการสังเกตว่ายาแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาที่กระตุ้นให้มีการหลั่งโดปามีนเพิ่มขึ้นสามารถทำให้ผู้ที่เสพเกิดอาการเหมือนโรคจิตได้
ข้อมูลอื่นๆ ที่สนับสนุนสมมติฐานนี้มาจากความจริงที่ว่า
ยารักษาโรคจิตที่ใช้ในการรักษาหากจับตัวกับตัวรับโดปามีนในสมองมาก
ก็จะยิ่งออกฤทธิ์ในการลดอาการของโรคจิตเภทได้มาก
ยิ่งไปกว่านั้น สารเคมีบางชนิดที่ไปเพิ่มการทำงานของโดปามีน (dopamine
agonist) สามารถทำให้เกิดอาการเหมือนโรคจิตเภทได้ในคนปกติ
และทำให้ผู้ป่วยโรคจิตมีอาการเลวลงได้
สมมติฐานนี้มาจากการสังเกตผลของยารักษาโรคจิตกลุ่มแรกๆ
ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบโดปามีน อย่างไรก็ตามพบว่า
ผู้ป่วยอีกราวร้อยละ 30 ไม่ตอบสนองต่อยากลุ่มนี้
แสดงว่าการมีโดปามีนมากไม่ใช่สาเหตุอย่างเดียวของการเกิดโรค
นอกจากนี้
ยารักษาโรคจิตยังมีประสิทธิภาพต่ำในการรักษากลุ่มอาการด้านลบของโรคจิตเภท
แสดงว่าอาการด้านลบนี้มิได้เกิดจากการมีโดปามีทำงานมากเกินไป
แม้ว่าจะมีข้อโต้แย้งดังกล่าว
โดปามีนก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในโรคนี้
หลังการค้นคว้าวิจัย มีการปรับปรุงสมมติฐานโดปามีนเดิม
โดยกล่าวว่าโรคจิตเภทเกิดจากการมีระบบโดปามีนทำงานน้อยกว่าปกติในสมองส่วนด้านหน้า
(prefrontal) ทำให้มีอาการด้านลบ
และนำไปสู่การทำงานของระบบนี้ที่เพิ่มขึ้นในเซลล์ประสาทส่วนลึกๆ
ในระบบลิมบิก (limbic system) ที่เรียกว่า mesolimbic neurons
ซึ่งมีหลักฐานว่าทำให้เกิดอาการด้านบวกของโรค
ข.
ระบบสารสื่อประสาทอื่นที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท
ดังที่กล่าวแล้วในตอนต้นว่ามีสารสื่อประสาทอื่นที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคนี้
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสาร 3 ชนิด มีดังนี้
• ซีโรโตนิน (serotonin)
• กลูตาเมต (glutamate)
• กาบา (gamma-aminobutyric acid -GABA)
สมมติฐานซีโรโตนินเชื่อว่ามีความผิดปกติในการสร้างซีโรโตนินในผู้ป่วยโรคจิตเภทซึ่งทำให้มีการสร้างซีโรโตนินมากไปบ้างน้อยไปบ้าง
ยังผลให้โรคมีอาการมากน้อยเป็นระยะ ๆ
ทฤษฎีนี้ได้รรับความสนใจมาก เนื่องจากพบว่า
ยารักษาโรคจิตกลุ่มที่ออกมาในระยะหลังๆ
ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านการทำงานของซีโรโตนิน
รวมทั้งฤทธิ์ต่อต้านการทำงานของโดปามีน
ให้ผลการรักษาเทียบเท่าหรือดีกว่ายารักษาโรคจิตกลุ่มเดิม ๆ
สมมติฐานกลูตาเมตเป็นข้อเสนอที่ค่อนข้างใหม่ กล่าวว่าเซลล์สร้างกลูตาเมตที่ทำงานผิดปกติจะก่อให้เกิดโรค จากการสังเกตว่ายาเฟนไซคลิดีน (phencyclidine) ซึ่งเป็นสารเสพติดทำให้เกิดประสาทหลอนได้ และทำให้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคจิตอยู่แล้วเกิดอาการกำเริบได้
สมมติฐานกาบา เชื่อกันว่าการลดลงของกาบาจะทำให้โดปามีนทำงานมากขึ้น ซึ่งการวิจัยส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนสมุติฐานนี้ แม้พบว่ายาต่อต้านการทำงานของกาบาอาจช่วยให้ยารักษาโรคจิตได้ผลมากขึ้น
ค.
ทฤษฎีปฎิสัมพันธ์ระหว่างสารสื่อประสาท
ในช่วงหลัง ๆ
นักวิจัยเริ่มศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างโดปามีนกับสารสื่อประสาทอื่น
อันอาจเป็นสาเหตุของโรคจิตเภท
ทั้งนี้เนื่องจากพบว่ายารักษาโรคจิตกลุ่มใหม่ เช่น ยาโคลซาปีน
(clozapine) ซึ่งจับกับทั้งตัวรับสารทั้งโดปามีนและซีโรโตนิน
มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคจิตเภท ทำให้คิดกันว่า
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโดปามีนและซีโรโตนิน
อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนี้
คุณหมอว่า คนเราถ้ามันมีอะไรที่ฝังใจมากๆแล้วอยากลืม
มันมีวิธีการอะไรไหมคะ อย่างเช่น การสะกดจิตนี่ เป็นเรื่องจริง
หรือไม่คะ ได้ผลจริงหรือเปล่าคะ....พอดีผมไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ครับ เลยบอกไม่ได้ แต่คิดว่าอาจจะได้ผล แต่ไม่มากเพราะไม่งั้นคนเราก็คงไปลบความจำที่ไม่ต้องการเหมือนกับ delete file กันหมด แต่ชีวิตจริงมันไม่ยังงั้นนะสิครับ
มีคนเขาบอกว่าปัญหาจะเป็นปัญหาหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ตัวปัญหาเท่าไร แต่อยู่ที่มุมมองของเรามากกว่าครับ เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปลบของเก่าออก (ซึ่งยาก เพราะเขาก็คือส่วนหนึ่งของตัวเรา) การแก้ไขที่ถูกทาง ก็น่าจะเป็นการเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งนั้นครับ
ผมกำลังเป็นโรคนี้พอดี.....ที่สำคัญต้องดูแลคนที่คุณรักให้ดีนะครับ...อ่านดูสาเหตุจริง ๆ แล้วเหมือนกะจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนะครับ
ผมมีความคิดเห็นว่าเรื่องวิทยาศาสตร์พิสูจน์ในความเป็นจริงได้ทุกเรื่องแต่ขณะนี้ต้องรอเวลาในการศึกษาต่อยอดจากองความรู้เดิมเพราะบางโรคเราพอจะทราบสาเหตุที่ชัดเจนและสมองคือส่วนสำคัญที่สุดของการดำรงชีวิตหากมีความผิดปกติที่Organส่วนนี้ย่อมที่จะส่งผลต่อFungtionด้วยเพราะมีความสัมพันธ์กันส่งผลต่อกันส่วนเรื่องของการสะกดจิตนั้นคือการส่งคำสั่งไปยังสมองให้มีการรับรู้และปฏิบัติตามชั่วคราวในขณะนั้นและจะพัฒนาไปเป็นความจำระยะยาวได้หากไม่มีการลบตัวความจำหรือMemmerryซึ่งผลดังกล่าวสามารถอะธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์ ว่าสมองแต่ละส่วนมีหน้าที่ต่างกันแต่ส่งผลต่อกันเหมือนคนในสังคมนั่นเอง
จาก ศักดิ์ ทอง หรือเกษมศักดิ์ ทองนุ่น พยาบาลวิชาชีพ ณ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช