ผู้หญิง-เพศสภาพ-การเมือง : เรื่องชวนถกให้เถียง
์
นิตยสารฟอร์บ (Forbes Magazine) ในสหรัฐอเมริกา เพิ่งจะตีพิมพ์ชื่อ "ผู้หญิง 100 คนที่มีอิทธิพลมากที่สุด" (The 100 Most Powerful Women) รายชื่อเหล่านี้ได้มาจากการทำสำรวจชื่อของผู้หญิงที่ปรากฏอยู่ในการรายงานของสื่อมวลชน ซึ่งครอบคลุมผู้หญิงในทุกสาขาวิชาชีพ
จากรายชื่อผู้หญิง 100 คนที่นิตยสารฟอร์บระบุว่ามีอิทธิพลนั้น จำนวน 30 คนเป็นผู้หญิงที่มีบทบาททางการเมือง และสามอันดับแรกของผู้หญิงที่มีอิทธิพลมากที่สุดนั้น ก็เป็นผู้หญิงจากแวดวงการเมือง คือ แองเจลลา เมอเกิล (Angela Merkel) นายกรัฐมนตรีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี, คอนโดลิสซ่า ไรซ์ (Condoleezza Rice)รัฐมนตรีต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา และ หวูยี่ (Wu Yi)รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของสาธารณรัฐประชาชนจีน
นอกจากหวูยี่ แล้ว ยังมีผู้หญิงอีก 7 คนจากภูมิภาคเอเชียที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ติดอยู่ในอันดับผู้หญิง 100 คนที่มีอิทธิพลที่สุดของนิตยสารฟอร์บด้วย พวกเธอคือ
- ซอนย่า คานธี ประธานพรรคคองเกรสของอินเดีย (อันดับ 13)
- สีมา ซามาร์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งอัฟกานิสถาน (อันดับ 28)
- คลาลิด้า เซีย นายกรัฐมนตรีบังคลาเทศ (อันดับ 33)
- ทซีปี ลิฟนี่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล (อันดับ 40)
- กลอเรีย อาโรโย่ ประธานาธิบดีฟิลิปินส์ (อันดับ 45)
- ออง ซาน ซูจี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ประเทศพม่า (อันดับ 47) และ
- ฮาน เมียง ซุก นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ (อันดับ 68)
ผู้หญิง 8 คนนี้เดินเข้าสู่เวทีการเมืองอย่างมั่นใจภายใต้กติกาเดียวกับนักการเมืองชาย และไม่มีใครได้รับเลือกเข้าสู่เวทีการเมืองเพราะเพศสภาพที่เป็นหญิง พวกเธอดำเนินบทบาททางการเมือง เผชิญทั้งความสำเร็จ ความพ่ายแพ้ ได้รับทั้งความนิยม และคำประณามเช่นเดียวกันกับนักการเมืองชาย และไม่มีใครถูกประณามและขับไล่จากเวทีการเมืองด้วยเหตุแห่งความเป็นหญิง
ต่างจากนักการเมืองหญิงในเมืองไทย ที่แม้กลุ่มรณรงค์ด้านสิทธิสตรีจะพร่ำพูดถึงเรื่องสัดส่วนหญิงชายในพรรคการเมือง ในรัฐบาลที่"ขาดมิติของผู้หญิงมาสร้างความสมดุลเชิงนโยบาย" แต่บรรดาผู้หญิงที่ก้าวเข้าสู่การเมือง และได้รับเลือกให้อยู่ในระดับบริหารในรัฐบาล หรือมีตำแหน่งที่มีบทบาทอยู่ในพรรคการเมือง รวมทั้งนักการเมืองหญิงที่มีบทบาทการทำงานในประเด็นผู้หญิงกลับต้องเผชิญกับคำปรามาสอยู่เสมอในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเพศสภาพ เช่น
เป็นชายในร่างหญิง!
เป็นไม้ประดับ!
เป็นพวกหาคะแนนเสียงจากการทำประเด็นผู้หญิง !
เป็นพวกหัวเก่าย้อนยุค และสนับสนุนระบบชายเป็นใหญ่!
คำกล่าวหาเหล่านี้ สะท้อนมุมมองที่เวียนวนอยู่กับวิถีคิดของสังคมไทยที่มีต่อบทบาทของผู้หญิง ที่พ้นไปจากพื้นที่ในบ้าน คือความไม่เชื่อมั่นต่อบทบาทในพื้นที่สาธารณะของผู้หญิงที่ครอบงำความคิดของสังคมไทยมาช้านาน. แต่เป็นเรื่องน่าสนใจที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ มักเกิดขึ้นทุกครั้งในเวทีการพูดคุยเกี่ยวกับการรณรงค์ด้านสิทธิสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งเป็นเวทีที่แทบไม่มีผู้ชายเข้าร่วมเสวนาสังสรรค์ด้วยเลย
ขณะเดียวกัน หลายครั้งที่กลุ่มต่างๆในภาคประชาสังคม รวมทั้งนักรณรงค์ด้านสิทธิสตรี และสื่อมวลชนในสังคมไทย มักจะหยิบยกประเด็น "ความเป็นหญิง" และความเป็น "เหยื่อ"ของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมที่มีรากฐานความคิดแบบ "ชายเป็นใหญ่"มาใช้ในปรากฏการณ์ความขัดแย้ง และการต่อสู้ทางการเมือง การต่อสู้กับผู้มีอำนาจ และอำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการต่อสู้ทางการเมืองในหลายกรณี ถูกทำให้เป็นประเด็นการต่อสู้ของ "ผู้ชาย" กับ "ผู้หญิง" ทั้งๆ ที่ประเด็นขัดแย้งนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับความเป็นหญิงหรือความเป็นชายเลย
บางกลุ่มถึงกับใช้คำว่า "เป็นการต่อสู้ของผู้หญิงตัวเล็กๆ" เป็นสีสันในการต่อสู้โดยที่มิได้ตระหนักเลยว่า วาทกรรมที่ใช้นั้นคือกระจกเงาที่สะท้อนกลับให้เห็นรากคิดที่ยอมรับภาวะไม่เท่าเทียมระหว่างหญิงชาย
บางที เรื่องราวของนักการเมือง 8 คนจากภูมิภาคเอเซียที่ได้รับการระบุให้อยู่ใน 100 อันดับของ "ผู้หญิงที่มีอิทธิพลที่สุด"ของนิตยสารฟอร์บ อาจเป็นทั้งคำถามและคำตอบ และนำไปสู่การถกเถียงที่ก้าวคืบของสังคมไทยต่อภาวะ"ด้อยโอกาส" และ "มิติที่แตกต่าง" ที่ผู้หญิงจะเข้าไปสู่การเมือง