มีเรื่องหนึ่งที่บอกถึงความมีเมตตาของท่านต่อชนต่างศาสนิกที่อาศัยอยู่ในนครมาดีนะห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสลามในสมัยนั้น
ทุกครั้งที่ท่านเดินผ่านบ้านชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวยิว เขาจะทมน้ำลายใส่หน้าท่านตลอด แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท้ายสุดเมื่อชายผู้นั้นเกิดป่วยหนัก ท่านก็เดินทางไปเยี่ยมเขา ทำให้เขาเกิดแปลกใจว่าทำไมต้องมาเยี่ยมเขา ทั้งๆที่เขาได้กระทำสิ่งที่ไม่ดีต่อท่าน แต่ท่านก็ยังมาเยี่ยม
ผมไม่แน่ใจว่าชายคนนั้นจะเข้ารับอิสลามหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญที่เราได้รับจากเรื่องนี้คือแบบอย่างที่ดีของท่านศาสดามูหัมหมัดในการอยู่ร่วมกันในสังคม
ถึงแม้ฉันเป็นมุสลิมและเธอเป็นพุทธ แต่เราอยู่ด้วยกันได้ มีอะไรดีๆเราก็แบ่งปันกันได้ อะไรที่ไม่ดี ฉันและเธอไม่ควรที่จะทำและต้องห้ามคนอื่นไม่ให้กระทำด้วย หากเราสองคนมีพลังที่จะไปจัดการตรงนั้นได้…………
มีมุสลิมอีกเยอะมากครับที่ไม่เข้าใจอิสลาม และแปลความหมายของอิสลามในความเข้าใจของตัวเอง สุดท้ายทำให้ศาสนาที่สูงสงต้องแปลดเปลี้อนด้วยมลทิน
ในสมัยของการเผยแพร่ศาสนาของท่านศาสดา มีสาวกหลายท่านที่นับถือศาสนาอิสลามแล้ว แต่พ่อแม่พี่น้องยังไม่ได้รับอิสลาม จึงมีคำถามไปยังท่านศาสนฑูต(ซ.ล) ว่า เขาควรปฏิบัติตัวอย่างไร คำตอบของท่านคือ จงทำดีกับท่านทั้งสอง จงปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน ยกเว้นคำสั่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลาม (อันนี้เป็นความสรุปจากพระวจนของท่านศาสนฑูตที่ผมจำได้)
แล้วใครที่มาอ้างว่า ในอิสลามฆ่าพ่อฆ่าแม่ได้ และใครที่อ้างว่าอิสลามอยู่ร่วมกับศาสนาอื่นไม่ได้
ข้อสำคัญของการอยู่ร่วมกันคือ ศาสนาของท่านก็คือศาสนาของท่าน ศาสนาของฉันก็คือศาสนาของฉัน
อย่าพยายามทำให้มันปะปนก้นเท่านั้นเอง
ศาสนาไหนๆก็สอนให้ทุกคนเป็นคนดี แล้วทำไมเราจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ละค่ะ