เคยมีบางคนเอ่ยถามข้าพเจ้าว่า รู้สึกอย่างไรกับงานของตนเองทำอยู่ คิดว่างานนั้นมีคุณค่าไหม มีความภาคภูมิใจรึเปล่า ที่ต้องคอยให้บริการนิสิตจำนวนมาก และจะมีเด็กรุ่นใหม่ ๆ ผ่านมาและผ่านไปแบบนี้เรื่อยไป..... และถ้าข้าพเจ้าต้องอยู่ในหน้าที่นี้ไปนาน ๆ คุณจะรู้สึกไหมว่า ตัวเองแก่ลงทุกวันๆ (รู้สึกสะเทือนใจตรงคำว่า แก่นี่แหละ จะถามทำไมหนอ..) แต่อาจจะยังคงอยู่ในหน้าที่นี้ต่อไป ....คุณๆ ล่ะค่ะ คิดอย่างไรกับหน้าที่ของตนเองที่ตื่นเช้ามาต้องปฏิบัติงานหน้าที่เดิม ๆ ทุกวัน สถานที่ทำงานเดิม ๆ ทุกวัน และต้องพบเจอกับปัญหาอุปสรรคในหน้าที่ของตนเองซึ่งบางทีก็อาจจะเดิม ๆ.....(อันนี้สามารถตอบได้ในใจคุณค่ะ ถ้าหากคุณไม่อยากให้คนอื่นทราบ) แต่คำตอบของข้าพเจ้าอยู่ในเรื่องนี้ค่ะ .... ในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุก ๆ ปีจะมีการเปิดรับสมัครนิสิตที่มีความประสงค์จะขอกู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ) ซึ่งทุกคนก็จะแนบหลักฐานต่าง ๆรวมทั้งผลการเรียนของเทอมที่ผ่านมาด้วย และข้าพเจ้าก็มีหน้าที่ต้องตรวจหลักฐานเหล่านั้นให้ครบถ้วน (แต่ก็อาจจะมีหลุดไปบ้างอ่ะค่ะ..อิอิ) จึงทำให้พบนิสิตผู้หนึ่งที่มีปัญหาด้านผลการเรียนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดเรียกได้ว่าเกือบจะโดน retire ข้าพเจ้าจึงติดตามนิสิตคนดังกล่าวมาคุยกันว่าคุณสมบัติของคุณอาจจะไม่สามารถที่จะกู้ยืมฯ ได้ นิสิตเองก็ยอมรับในเรื่องดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงสอบถามว่าเหตุใดผลการเรียนของนิสิตถึงเป็นเช่นนั้น นิสิตก็สารภาพว่าตนเองไม่ค่อยได้เข้าเรียน สาเหตุเนื่องจากเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่อง และติดเกม อีกทั้งยังมีแฟนด้วย หลังจากที่ได้คุยกันถึงปัญหาดังกล่าว ก็เลยถามนิสิตว่ายังอยากเรียนหนังสืออยู่รึเปล่า เค้าก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจในคำตอบ ก็เลยพยายามเป็นอย่างมากที่จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่เรียนหนังสือ กับผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า และไม่มีสามารถมาถึงจุดนี้ได้เช่นเค้า กับตัวอย่างของความลำบากหากเค้าไม่บากบั่น ที่จะเรียนหนังสือต่อไป ข้าพเจ้าก็พูดไปโดยหวังในใจว่าอยากให้เค้าเพียรพยายามอีกสักนิด หลังจากนั้นก็เป็นช่วงปิดเทอม นิสิตคนดังกล่าวก็เงียบหายไป จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ข่าวว่า เค้าได้เข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำในการ รีเกรด ในบางรายวิชาเพื่อที่ตนเองจะไม่ถูก retire วันนี้ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสพบนิสิตคนดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เนื่องว่าเค้าต้องการขอให้ข้าพเจ้าหาเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนในกลุ่มที่ต้องการจะลงเรียนในรายวิชาที่เค้าจะลงด้วย พร้อมหาเหตุผลของเพื่อนซึ่งก็มีอยู่หลายคนเพื่อไปรายงานให้กับอาจารย์ประจำวิชาทราบ และพิจารณาเห็นชอบที่จะเปิดสอนในรายวิชานั้นให้กับนิสิตอีกครั้ง ข้าพเจ้ามองย้อนกลับไปในวันแรกที่ข้าพเจ้าได้พบนิสิตคนนี้ ซึ่งแตกต่างกันกับตอนนี้มาก สังเกตได้ว่าเค้ากระตือรือร้นมากขึ้น เพื่อที่จะผลักดันให้ตัวเองได้มีโอกาสที่ดีในชีวิตต่อไป ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ขอภาวนาหวังว่าความพยายามมุ่งมั่นของเค้าจะดำเนินต่อไป จนประสบความสำเร็จ .... ซึ่งมันจะกลายเป็นอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจ ในการทำหน้าที่ของข้าพเจ้า ... และข้าพเจ้าเองก็คิดว่าการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าก็มิได้เลิศหรูไปกว่าหน้าที่ของคนอื่น ๆ และข้าพเจ้าเชื่อว่าในแต่ละหน้าที่ของทุก ๆ คนก็มีความสำคัญ และสิ่งดี ๆ แฝงอยู่ ผลของการทำงานมันไม่ได้หมายความว่าในชีวิตการทำงานของคุณได้โล่พนักงานดีเด่นกี่อัน ได้รับคำชื่นชมจากเจ้านายมากน้อยแค่ไหน สำหรับข้าพเจ้ามันอยู่ที่การที่เราได้สัมผัส และรู้สึกถึงความสำคัญในหน้าที่ของตนเอง มีความสุข มีอุปสรรค บ้างนั่นแหละคุณค่า และรางวัลของชีวิต คุณว่ามั้ย.....
คุณนันทิดาคะ ช่างเป็นบันทึกที่น่าประทับใจจริงๆ ค่ะ ทั้งเนื้อหาและสำนวนการเขียนที่สละสลวยงดงาม ดิฉันไม่ได้ชื่นชมในฐานะของผู้บังคับบัญชานะคะ แต่ชื่นชมในฐานะบุคคลทั่วไปที่เข้ามาอ่าน
ถ้าดิฉันเป็นนิสิตคนนั้น ดิฉันจะรู้สึกว่า พี่คนนี้น่ารักเหลือเกิน ความห่วงใยด้วยความบริสุทธิ์ใจ ช่วยเตือนสติให้ฉันตื่นขึ้นมาเผชิญกับความเป็นจริงในโลก เกือบลืมไปเลยว่าอนาคตคืออะไร
ถ้าดิฉันเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้ และทราบเหตุการณ์เช่นนี้ ดิฉันอ่านแล้วคงน้ำตาไหล โชคดีเหลือเกิน ที่ลูกได้เรียนที่สถาบันแห่งนี้ ที่ที่ซึ่งมีผู้ที่รักและห่วงใยลูกของดิฉันอย่างแท้จริง ดิฉันไม่อาจติดตามมาดูแลเขาได้อย่างใกล้ชิด เขาเป็นอนาคตและความหวังของครอบครัว แต่เขาคงไม่ทราบว่ามันมีความหมายมากแค่ไหน
ถ้าดิฉันเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนิสิต และทราบว่าคุณนันทิดาได้ช่วยติดตาม และตักเตือนลูกศิษย์คนนี้ ดิฉันจะรีบเร่งมาขอบคุณคุณนันทิดาโดยเร็วที่สุด ดิฉันมีลูกศิษย์ในความรับผิดชอบอยู่หลายสิบคน และมีทุกชั้นปี ตั้งแต่ปีที่ 1 ถึง 4 ภาระงานสอน งานวิจัย งานบริการวิชาการ อีกมากมาย ทำให้การดูแลลูกศิษย์อาจบกพร่องตกหล่นไปบ้าง ถ้าไม่มีคุณนันทิดาคอยเก็บตก และดิฉันมาทราบภายหลังโดยไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลยมันอาจสายเกินแก้ไปแล้ว
แต่ดิฉันเป็นผู้บังคับบัญชาของคุณนันทิดาจริงๆ และสิ่งที่ดิฉันทำทันทีเมื่ออ่านบันทึกนี้จบ ก็คือ การเขียนข้อคิดเห็น ซึ่งมันพุ่งพล่านเอ่อล้นอยากระบายความรู้สึกปิติยินดีออกมาให้หมด แต่ก็ทำได้ยากมาก และที่เขียนออกมานี้เป็นเพียง 1 ในล้านส่วนที่รู้สึก
ขออนุญาตนำ ข้อความสรุปตอนท้ายของคุณนันทิดา มาย้ำและเตือนตนอีกครั้งหนึ่ง ณ ที่นี้ว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่าในแต่ละหน้าที่ของทุก ๆ คนก็มีความสำคัญ และสิ่งดี ๆ แฝงอยู่ ผลของการทำงานมันไม่ได้หมายความว่าในชีวิตการทำงานของคุณได้โล่พนักงานดีเด่นกี่อัน ได้รับคำชื่นชมจากเจ้านายมากน้อยแค่ไหน สำหรับข้าพเจ้ามันอยู่ที่การที่เราได้สัมผัส และรู้สึกถึงความสำคัญในหน้าที่ของตนเอง มีความสุข มีอุปสรรค บ้างนั่นแหละคุณค่า และรางวัลของชีวิต คุณว่ามั้ย.....
ดิฉันก็เชื่ออย่างที่คุณนันทิดาว่าค่ะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ