ก่อนที่เราจะไปเข้าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ในภาคกลางคืน วันที่สอง ของอบรมอ่าน เขียน แปล กระบวนทัศน์ใหม่ (รุ่นเปิดกรุ Inaugural Syllabus) ขอหยุดม้าริมทาง ลงมาเดิน ครุ่นคิด ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง
เราได้อะไรจากการ อ่าน เขียน ฟัง บ้าง?
จากกระบวนการดูเหมือนจะ reverse เล็กน้อย คือ เขียน อ่าน ฟัง แต่จริงๆแล้ว ไก่หรือไข่เกิดก่อนกันคงจะบอกไม่ได้ และนอกเหนือไปกว่านั้น "อ่าน" นี่คืออะไร เราไม่ได้อ่านกันเฉพาะหนังสืออักษรหรอกนะ เคยได้ยิน "อ่านใจคน" ไหม อ่าน "สีหน้า" อ่าน "ท่าทาง" บรรดานักอ่านกำลังภายใน (หนังสือ) ตัวละครอ่านกระบวนท่ากระบี่ ท่าดาบ ท่าหมัดมวย เตียซำฮงอ่านเรียนรู้จากงูกระเรียนต่อสู้กัน เหล็งฮู้ชงอ่านเรียนกระบี่จากรูปวาดผนังถ้ำลับบนฮั่วซัว เจี๊ยะพั่วเทียนอ่านหนังสือไม่ออก ดูรูปไม่เป็น จึงสามารถตีความสุดยอดวิทยายุทธที่แฝงอยู่บนลายภู่กัน ไม่ใช่ที่เนื้อหา แต่อยู่ที่ท่วงทำนองเส้นสะบัด ทั้งของรูป ของตัวอักขระโบราณลายกระดองเต่า นักโปกเกอร์อ่านทั้งตัวของคู่ต่อสู้ การกระแอมไอ การลูบหน้า การกลั้นลมหายใจ ผ่อนลมหายใจ รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว มนุษย์สื่อสารกันตลอดเวลา จริงใจบ้าง ไม่จริงใจบ้าง แต่ข่าวสารข้อมูล ถูกส่ง ถูกรับ ตลอดเวลา
พฤติกรรมที่เราแสดงออก ก็มีผลกระทบจากการ "อ่าน" เหล่านี้นี่เอง คนไข้ที่คิดว่าตนเองยังมีความหวัง ก็จะสู้ มีพลัง คนไข้ที่หมดหวัง (เพราะหมอบอกว่า "คุณหมดหวัง") ก็จะห่อเหี่ยว ทรุดโทรม ดรุณีรอวันแต่งงานที่เข้ามาใกล้แทบจะแผ่รังสีแห่งความหวัง อนาคตอันยิ่งใหญ่ นักธุรกิจอ่านข่าวหุ้นอาจจะกำลังคิดจะกระโดดตึก และนักเขียนอ่านเสร็จ ก็กำลังจะ "เขียนต่อ"
ในการเรียนแพทย์ เราถูกสอนให้พยายามทำความเข้าใจใน principle of autonomy อยู่เสมอ ว่าสำคัญมากๆ
autonomy 1623, from Gk. autonomia, noun of quality from autonomos "independent, living by one's own laws," from auto- "self" (comb. form) + nomos "custom, law" (see numismatics). Autonomous is recorded from 1800.
|
พวกเรามี autonomy ของเราเอง (one's own laws) และเรามักเผลอคิดว่า our own laws นี้สามารถ applied ใช้ได้กับทุกๆคน ถ้าเปรียบคนเป็นหนังสือ ตัวเราก็จะเป็นเล่มที่ถูกเปิดบ่อยที่สุด เพียงแต่บางคนอาจจะเปิดแค่คำนำ บางคนเขียนแต่สารบัญ บางคนมีแต่ draft ที่ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ และเราก็จะใช้ความคิดที่ได้จากเล่มนี้แหละ ไปเที่ยว ตัดสินผู้อื่น อย่างนี้จะมีโอกาส ถูก / ผิด มากน้อยเพียงไร?
Non-judgemental attitude เป็นอะไรที่เราพยายามปลูกฝังให้นักศึกษาแพทย์พัฒนาขึ้น บูรณาการดูดซับซึมให้อยู่ในบุคลิก ระบบกระบวนคิด กระบวนทัศน์ของตนเองให้ได้ ซึ่งไม่ง่ายนัก สำหรับคนที่มีกระบวนทัศน์เก่าแบบ judgemental attitude มาทั้งชีวิต หรือรวมทั้งการอยู่ในสังคมที่พร้อมจะ judge จะตีค่า จะ label คนอื่นตลอดเวลา จาก past experience ของตนเอง จากคุณค่าของตนเอง จากความเชื่อของตนเอง
จากประสบการณ์การทำ palliative care ของผม และทีม เราได้รับฟังอย่างลึกซึ้งถึงชีวิตคนจำนวนมากที่ชีวิตใกล้จะถึงที่สุด โดยอาชีพของหมอ ของพยาบาล เราได้มีอภิสิทธิ์อย่างมหาศาล ที่ได้เป็นพยานรับฟังเรื่องราวของคน ที่เมื่อทราบว่าเวลาของตนนั้นกำลังจะหมดลง และเลือกที่จะเล่าเรื่องราวที่คิดว่าจะใช้เวลาอันทรงคุณค่า วินาทีนี้ นาทีนี้ ชั่วโมงนี้ พูดอะไรออกมา พูดกับใคร เพื่ออะไรเพื่อใคร เพื่อสิ่งไหน |
เรื่องที่เล่ามีทั้งความสุขสุดๆในอดีต ความภาคภูมิใจที่เป็น highlight แห่งชีวิต ความสำนึกเสียใจที่สำคัญมากไม่อยากจะนำติดตัวไปภพหน้า ความต้องการจะให้อภัยใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นพ่ออภัยให้ลูก หรือลูกขอโทษพ่อแม่ ไม่มีเรื่องไหนเล็ก ไม่มีเรื่องไหนใหญ่ มากน้อยกว่ากัน เพราะทุกเรื่องเป็น crème de la crème ของคนไข้
the very best; choicest parts or members.
Dictionary.com Unabridged (v 1.1)
Based on the Random House Unabridged Dictionary, © Random House, Inc. 2006.
ดังนั้นใครเล่าจะมีสิทธิ์ลดคุณค่า หรือแม้กระทั่งหาญกล้าที่จะละเลย ไม่มองหาอะไรที่อยู่ในข่าวสารชิ้นนี้?
ว่าแต่ว่า เราไม่จำเป็นต้องรอเวลาแบบนั้น หรือตอนที่เรากำลังจะตายจากไป จึงจะสื่อสารเรื่องแบบนี้ใช่ไหม?
ไม่มีความเห็น