วันนี้ผมได้รับโทรศัพท์จาอดีตศิษย์ปริญญาโท แจ้งข่าวว่ามีเพื่อนผมคนหนึ่งเสียชีวิตแบบ “ไม่มีใครทราบ” ในบ้านพักของทางราชการที่จังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา คนที่พบศพก็คือเพื่อนร่วมงานที่สงสัยว่าหายไปไหน ไม่ไปทำงานในวันที่ ๖ และวันที่ ๗ ก็ยังไม่เห็นจึงมีการปีนเข้าไปดูในบ้านพัก ก็พบว่าเสียชีวิตแล้ว
เพื่อนผมคนนี้เคยเรียนปริญญาตรีมาพร้อมๆกัน ห่างกันไปก็ตอนไปทำงาน ตอนหลังก็มีวิถีการทำงานที่ทำให้ได้มาพบกันอีกครั้งเมื่อประมาณ ๑๕ ปีมาแล้ว เขาเป็นคนรักษาสุขภาพมาก กินอาหารแบบชีวจิต ทำดีท๊อกซ์เป็นประจำ และชอบชักชวนให้เพื่อนทุกคน และผมทำแบบเดียวกัน ทำให้ผมมีนิสัยเอนเอียงไปทางอาหารชีวจิตมากพอสมควร จนมาปลูกข้าวอินทรีย์บริโภคเองนี่แหละครับ
เขาจะส่งเอกสารด้านการดูแลสุขภาพ และการบริโภคอาหารให้ผมเป็นประจำ บางทีก็ขอให้ผมส่งอาหารที่ผมผลิตเองส่งไปให้ด้วย แต่ผมก็ส่งบ้างไม่ส่งบ้างตามความสะดวก และเงื่อนไขเวลาที่ผมไม่ค่อยจะมีเวลาว่างเท่าไหร่
เขาพูดเสมอว่าเขาวางแผนที่จะอยู่ถึง ๑๐๐ ปี และอยากให้ผมรักษาสุขภาพให้ดีเพื่อจะอยู่ ๑๐๐ ปีอย่างมีคุณภาพ ผมก็มักจะทำตามบ้างไม่ทำบ้างตามความสะดวกของผม
เขาจะช่วยเหลือเพื่อนทุกคนให้ทำอย่างที่เขาเชื่อ ลงทุนทุ่มเททำให้ทุกคนดำเนินเป้าหมายของการมีสุขภาพที่ดี
แต่ผมก็ไม่ทราบว่าสาเหตุอันใดที่ทำให้เพื่อนผมคนนี้ต้องจบชีวิตลงในวัยยังไม่เกษียณด้วยซ้ำ
ถ้ามองจากกรรมก็น่าจะเกิดจากกรรมเก่า เพราะกรรมใหม่เขาทำแต่ความดี
ถ้ามองจากธรรมชาติก็อาจจะเป็นปรากฏการณ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีอันต้องจบชีวิต เหมือนกับการดับของเครื่องยนต์
โดยเฉพาะการดับที่ไม่มีใครช่วย อยู่ตัวคนเดียว ก็คงจะดับไปเลย
อาจจะเป็นวิบากกรรมของเขาที่ทำให้ตัวเองมาอยู่แยกจากครอบครัว เพียงลำพัง
มันอาจจะเป็นวิถี และเป็นกรรมของเขาเองที่ต้องเป็นเช่นนี้
ผมตื้นตันใจในความดีที่เขามีต่อทุกคน และที่ผมได้รับ
การจากไปอย่างกะทันหันของเพื่อนที่รักษาสุขภาพแบบสุดชีวิตคนนี้ ทำให้ผมได้คิดว่า เราคงฝืนชะตากรรมไปได้ไม่มากนัก แต่ผมก็เชื่อในหลักการที่เพื่อนแนะนำมา แม้จะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ตาม
ขอให้จิตวิญญาณของเพื่อนจงไปสู่สุคติเถอะเพื่อนรัก ถ้าเวรกรรมมีจริง เราก็อาจได้พบกันอีกในชาติหน้า
ชาตินี้เราคงได้พึ่งพากันเพียงเท่านี้
และผมขออโหสิกรรม ในสิ่งที่ผมอาจได้ล่วงเกินเพื่อนทั้งกาย วาจา และใจก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี รู้ตัวก็ดี ไม่รู้ตัวก็ดี
ขอจงอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
ขอร่วมไว้อาลัยเพื่อนผู้มากด้วยไมตรีจิตของท่านอาจารย์ด้วยครับ
การพลัดพรากทำให้คนเราเป็นทุกข์ แต่ขณะเดียวกันทุกครั้งที่มีการพลัดพรากหรือสูญเสีย จะเป็นโอกาสให้คนเราได้ทบทวน จนเกิดการเรียนรู้ หรือตระหนักรู้ในสัจธรรมมากยิ่งขึ้นด้วยเสมอ ดังถ้อยคำอันเป็นข้อเขียนในบันทึกนี้ของท่าน
" อาจจะเป็นวิบากกรรมของเขาที่ทำให้ตัวเองมาอยู่แยกจากครอบครัว เพียงลำพัง "
ข้อความนี้อ่านแล้วสะดุ้งครับ คิดทบทวนอะไรหลายอย่างอยู่เหมือนกัน
ขอแสดงความเสียใจ
จากใจจริงครับอาจารย์เราได้แต่รับรู้ และไปร่วมงานศพของคนอื่นอยู่เสมอ
บางครั้ง เราก็ลืมไปว่า
สักวันหนึ่งก็ถึงญาติใกล้ชิดเรา และถึงเรา
จึงควรมีสติอยู่เสมอว่า
ต้องทำดี ต้องทำดี ต้องทำดี
ทำวันนี้ให้ดีกว่าที่ผ่านมา
แต่มนุษย์ ก็คือ มนุษย์
ยังอยู่ในวังวน โลภ หลง โกรธ รัก นะอาจารย์ขอแสดงความเสียใจด้วยจริงๆ