ความรัก เนื้อคู่ ดวงชะตา เวรกรรม


หลายคนมัวพร่ำบ่นในโชคชะตาของตนเองว่าไร้คู่ แต่วิถีชีวิตของตนไม่มีโอกาสพบปะกับคนอื่นมากนัก

สาวโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ารายหนึ่งที่กาฬสินธุ์ แม้จะอายุเพียง 25 ปี แต่เธอเป็นคนที่มีความเชื่อทางพุทธศาสนาอย่างมาก และเป็นที่แปลกใจของหลายคนที่เห็นคนในวัยนี้  ทำบุญที่วัดอยู่เป็นประจำ

เธอเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี เธอพยายามใช้หลักธรรมนำทางชีวิต ไม่ลุ่มหลงมัวเมากับอบายมุข สิ่งยั่วยุเช่นเพื่อนในวัยเดียวกันกับเธอ เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาทำงานเย็บเสื้อผ้าเก็บหอมรอมริบมาตลอด โดยมีความหวังว่า ชีวิตในวันข้างหน้า คงจะดีขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน

เธอก็เหมือนกับอีกหลายคนที่ชอบตรวจดูดวงชะตา อยากรู้ถึงชีวิตในอนาคตของตัวเอง และประเด็นหนึ่งที่เธอสนใจถามไถ่อยู่เสมอ คือ เนื้อคู่ของเธอเป็นคนแบบไหน


ไปดูหมอทีไร ได้ยินคำทำนายแล้ว หัวใจห่อเหี่ยวทุกครั้ง กับคำทำนายว่า ยังไม่มีโอกาสได้เจอเนื้อคู่เลย คงอีกนานแสนนาน หรืออาจจะไม่ได้เจอเลยก็ย่อมได้

ผู้หญิงหลายคนอยากที่จะมีคู่คิด คู่ใจคอยดูแลเอาใจใส่เช่นกัน เธอเห็นเพื่อนในวัยเดียวกัน มีคู่รักกันทั้งนั้น เธอได้แต่อิจฉาตาร้อนอยู่เสมอ เมื่อไปวัดทำบุญบ่อยๆ ฟังเทศน์ฟังธรรมะอยู่เรื่อยๆ ทำให้เธอเริ่มปลง ทำใจได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นเวรเป็นกรรมเก่าของเธอ ที่ทำให้เธอคลาดแคล้วไม่พบเนื้อคู่ในชาตินี้... เธอคงอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตแน่ๆ.....

น้องที่ตลาดโต้รุ่งนำเรื่องนี้มาเล่าให้นายบอนฟัง เฮ้อ เวรกรรม....

เรื่องเนื้อคู่นั้น ไม่น่าจะใช่เวรกรรม ความจริงเพราะเนื้อคู่ยังไม่มาต่างหาก
ก็เธอทำงานโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเล็กๆ ซึ่งมีแต่เพื่อนผู้หญิง ทำงานเสร็จกลับบ้าน มีเวลาว่างก็ไปทำบุญที่วัด แล้วจะมีโอกาสไปพบเนื้อคู่ตอนไหนล่ะเนี่ย....

เจอแต่เพื่อนผู้หญิงที่โรงงาน เจอผู้สูงวัยที่วัด ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา แล้วจะไปพบเนื้อคู่ได้เอย่างไร จะรอให้หล่นมาจากฟากฟ้าเช่นนั้นหรือ....

..เหมือนกับหลายคนที่มัวแต่พร่ำบ่นในโชคชะตาของตนเองว่า ทำไมถึงไร้คู่ แต่วิถีชีวิตของตนเองไม่มีโอกาสได้พบปะกับคนอื่นๆมากนัก


เฮ้อ เวรกรรม

หมายเลขบันทึก: 82624เขียนเมื่อ 8 มีนาคม 2007 12:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 พฤษภาคม 2012 14:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

แต่ดิฉันคิดว่า หากเรามีคู่ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไกลเพียงใด หรือแม้แต่ทำงานในโรงงานเล็กๆที่มีแต่ผู้หญิงอย่างเรื่องข้างต้น

แต่หากเขาคนนั้นมีคู่ จะเหตุบังเอิญทำให้คู่ของเขามาพบกันในที่สุด

เช่นอาจจะเจอตอนไปตลาด หรือไปซื้อของก็เป็นได้ ขนาดดิฉัน อยู่ไกลอีกฟากของโลก ยังมีโอกาสมารู้จักได้เลย

อย่ายอมแพ้นะคะ วันหนึ่งคงจะสมหวังเรื่องความรักค่ะ ขอเอาใจช่วย

หนูว่าที่จริงแล้วการที่เราจะเจอเนื้อคู่สักคนนั้นไม่จำเป็นต้องรอหรือไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อคู่กันแต่เลือกที่จะรักและเลือกที่จะรักกันบางที เรานั่นแหละที่ลิขิตชีวิตตัวเองไม่ใช่ฟ้า

แต่เราเลือกที่จะให้ฟ้ามาลิขิตชีวิตเราเองต่างหาก

อย่ามีแหละค่ะดีแล้วเนื่อคู่สมัยนี้เขาเรียกว่าคู่เวรคู่กรรมมากกว่า แรกรักอะไรก็ดีนานไปแย่ลง แต่ไม่แน่นะบางคู่อาจจะดีก็ได้ถ้าเจอคนดี ๆ

คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ถึงยังไงก็ ทำดีต่อไปครับ เรื่องคู่คงไม่ใช่จุสุดท้ายของชีวิต สูๆครับ

เรื่องที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ เราลอกมาจากหนังสือที่เขาพิมพ์แจกเอาบุญ เราก็เลยพิมพ์ใส่คอมพ์ส่งเมล์แจกบ้าง เผื่อจะได้บุญ แถมไม่เสียตังค์ด้วย เรื่องนี้มีความน่าสนใจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ มีชื่อผู้เกี่ยวข้องเยอะเชียว อ่านแล้วน่าเชื่อถือดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง อ่านแล้วอย่างน้อยเราก็เก็บเอาข้อคิดเรื่องกฎแห่งกรรมไว้เป็นเครื่องเตือนใจเราไม่ให้ทำชั่วก็ยังดี ใครอ่านแล้วอ่านอีกทีก็ได้ เราตั้งใจพิมพ์ให้คนที่ยังไม่เคยอ่านจะได้อ่านมั่งงัย

ข้าพเจ้าตั้งจิตอุทิศผล บุญกุศลนี้ไปให้ไพศาล

ถึงมารดาบิดาและอาจารย์ ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน

คนเคยร่วมทำงานการทั้งหลาย มีส่วนได้ในกุศลผลของฉัน

ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้เทอญ

(กลอนนี้ก็ลอกในหนังสือมา) เริ่มเรื่องเลยละกันนะ เรื่องค่อนข้างยาวหลายหน้าทีเดียว (10 หน้า) แต่น่าสนใจมาก…

พิมพวดีสื่อวิญญาณ ..โดย…. นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ

เรื่องเป็นอย่างไร เท็จจริงแค่ไหน ผมกำลังจะเล่าให้คุณฟัง ณ บัดนี้

ประมาณช่วงกลางปี พ.ศ. 2504 ปีฉลู ได้มีหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง ซึ่งมักจะตีพิมพ์เรื่องเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ เกี่ยวกับจิตวิญญาณ และเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งเรื่องอภินิหารต่างๆ เป็นหนังสือที่ดังระยะหนึ่งในสมัยนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับนี้พาดหัวข่าวว่า “วิญญาณของเด็กมาช่วยรักษานายแพทย์ใหญ่”

ที่จริงผมไม่ใช่แพทย์ใหญ่ ไม่มีใครแต่งตั้งให้ผมเป็นที่กรมกระทรวงใด แล้ววิญญาณเด็กก็ไม่ได้มารักษาผม หนังสือพิมพ์นี้ได้ตีพิมพ์ต่อเนื่องกันประมาณสองอาทิตย์ พร้อมทั้งพิมพ์รูปถ่ายของผมลงประกอบในข่าวนั้นด้วย ทำให้ ฮือฮาไปทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่พอจะทราบเรื่องเลาๆ บ้าง ได้ซื้ออ่านเป็นการใหญ่ รวมทั้ง พระคุณเจ้าบางองค์ ซึ่งพระคุณเจ้าหลายรูปยังมีชีวิตอยู่และท่านได้นำเรื่องราวของผมไปตีพิมพ์ในหนังสือธรรมะ ท่าน เจ้าคุณรูปนี้เดี๋ยวนี้ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดโสมมนัสวิหาร ท่านก็นำเรื่องของผมไปเขียนด้วยเหมือนกัน

อันที่จริงเรื่องที่ปรากฏกับผมนั้นมีไม่มาก ไม่มีอภินิหารมโหฬารอย่างที่ได้พิมพ์ไว้นั้นเลย ทีนี้เมื่อเล่ากันต่อๆ ไปปากต่อปาก ก็สาวความยาวออกไป จนผมอ่านแล้ว นี่เรื่องของผมหรือใครกันแน่ เพราะมันออกจะเกินเรื่องของความจริงไปเยอะ

เหตุที่ผมจะนำเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง เพราะในปลายปี 2529 ต่อกับวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2530 คณะพรรค สูงอายุหลายท่านซึ่งผมขออนุญาตเอ่ยนามของท่านไว้ ณ ที่นี้ คือ คุณหญิงวัลลีย์ วีระปีย์, พล.ร.ต.ประจวบ และแพทย์หญิงอำภิกา พงกล้า, คุณสมบัติ คงจำเนียร, และ ม.ร.ว.ทอศรี ภรรยา ศ.จ.น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ แห่ง ร.พ.ศิริราช, พ.พ.สมพงษ์ บุรุษรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กทม. พล.ต.กมลพิจิตร คดีพล, คุณเสนาะ นิลกำแหง อดีตเสรีไทยสายอังกฤษ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองและอีกหลายท่านรวมทั้งผมด้วย ได้จัดคณะท่องเที่ยวสูงอายุไปพักผ่อนทางเหนือพร้อมกันก็แวะเล่นกอล์ฟกันทุกสนามที่ผ่านได้แก่ จ.นครสวรรค์ จ.พิษณุโลก แม่เมาะ จ.ลำปาง และสุดท้ายที่ จ.เชียงใหม่ สมาชิกที่ได้ไปเที่ยวกันคราวนี้ร่วมสามสิบคน อายุรวมกันเห็นจะกว่า 1,640 เราออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 9 ธ.ค. และกลับกรุงเทพตอนค่ำวันที่ 2 ม.ค. เลยปีใหม่หนึ่งวัน และในปี 30 – 31 ก็ประพฤติกันแบบนี้อีก ไม่รู้จักเบื่อหน่ายกันบ้างหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ

ในระหว่างเดินทางทั้งไปและกลับ ในรถทัวร์ที่เช่าเขาไปเพื่อบรรเทาง่วงเราก็เฮฮากันไป สนุกสนานกันไป ซึ่งหนุ่มสาวคงหาว่าเราเชยเต็มที เพราะมีนิทานเก่าๆ เอาออกมาเล่ากัน เพลงที่ร้องกันในรถก็โน่น เอาเพลงของพรานบูรณ์ ของจำรัส สุวคนธ์ ของท่าน ม.ล.พวงร้อย นานๆ ทีจึงจะมีเพลงปัจจุบันสักเพลงสองเพลง อย่างดีก็จะมีของครูเอื้อ นานๆ ก็มีของดนุพล แก้วกาญจน์ สุชาติ ชวางกูร สักเพลงสองเพลง ซึ่งถ้าหากเจ้าตัวมานั่งฟังอยู่ด้วย คงจะพูดว่า อนิจจัง เพลงของเราเป็นอย่างนี้ไปแล้วหรือนี่

เป็นอันว่าการท่องเที่ยวเล่นกอล์ฟก็ได้สิ้นสุดลงที่สนามเชียงใหม่ พอวันที่ 2 ม.ค. เพราะก็เดินทางกลับออกจากเชียงใหม่ราวๆ 8 นาฬิกา พอรถออกไปได้หน่อยก็ประพฤติอย่างขาไปอีก ทีนี้พอถึงนครสวรรค์หลังอาหารกลางวัน ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าเก่านั่นแหละ เราก็ออกเดินทางต่อ พรรคพวกในคณะต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ จึงขอให้คุณหญิงวัลลีย์บอกผมว่า ขอฟังเรื่องวิญญาณที่ผมพบในรูปของเด็กหญิงพิมพวดี ที่ยังติดอยู่ในใจหลายๆ คน หลายคนที่ได้อ่านเรื่องของผมที่ท่านศาสตราจารย์เอียน เฟลมมิ่ง นักวิญญาณศาสตร์มาสัมภาษณ์ผมแล้วนำไปพิมพ์เป็นเรื่องหนึ่งในหนังสือของท่านเผยแพร่ในอเมริกา เมื่อราวๆ พ.ศ. 2506 หรือ 2507 ก็สนใจและรวมทั้งบางท่านที่เคยอ่านหนังสือรายสัปดาห์ฉบับนั้นด้วยว่าเป็นจริงอย่างไร

ทุกคนในรถเงียบสงบ อย่างฟังปาฐกถาที่น่าฟัง ในเมื่อผมได้พูดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ได้กับตัวผม ไม่ว่าจะพูดที่ไหนกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็อย่างนี้ ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องว่า

ผมได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมีสิบสองคู่) เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นอายุราวๆ 16-17 ปี ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีนและก็เป็นเรื่อยมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นๆ หายๆ โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆ ก็พอบรรเทาไปได้ เคยขอให้อาจารย์ที่ศิริราชตรวจท่านก็บอกว่าสายตามีส่วนช่วยให้ปวดได้เพราะสายตาไม่ดี ผมก็เลยสวมแว่นตามาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนถึงบัดนี้

สรุปว่าผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี ตอนที่เป็นนายแพทย์ผู้อำนวยการที่จังหวัดภูเก็ตก็ยังเป็น ตอนไปศึกษาต่อที่อเมริกาก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัดผมก็ยอม แต่พอจะผ่ามันก็เกิดหายปวด เพราะเป็นๆ หายๆ หมอที่นั่นก็เลยไม่กล้าผ่า พอศึกษาจนจบก็กลับมารับราชการต่อตามโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง ตอนปี พ.ศ. 2504 ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ ฝ่ายวิชาการ เกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชตอนนี้เอง

โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ คุณหมอสิระ บุณยะรัตเวช หัวหน้าศัลยกรรม ร.พ.รามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท ท่านผู้นี้เอง ที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดยาเข้าในสมอง ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ ให้หมดสภาพไปเลย ท่านบอกว่า หนึ่งในสาเหตุของโรคนี้ คือเส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดสมองเส้นที่ห้านี้ เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกที คนโบราณเรียกว่า “ลมตะกัง” หมอปัจจุบันเรียกว่า “ไมเกรน” หรือ “ติ๊ดเตอลารูไทรเจมินัลนิวราลเจีย” เป็นชื่อเดียวกัน การรักษายากมาก

ตอนปี พ.ศ. 2504 นั้น คุณหมอสิระยังไม่กลับจากการศึกษาต่อจากอังกฤษ ท่านเรียนจบสำเร็จเป็นราชบัณฑิตในวิชาศัลยศาสตร์ แห่งประเทศอังกฤษ ท่านกลับมาตอน พ.ศ. 2507 หรือราวๆ นั้น ท่านศาสตราจารย์ น.พ.อุดม โปษกฤษณะ เป็นผู้รักษาผม มี ศ.จ. น.พ.วิชัย บำรุงผล แห่งภาควิชา ศัลยกรรมและ ศ.จ. น.พ. สมบัติ สุคนธพันธ์ ฝ่ายโรคทางยามาร่วมด้วย ทั้งสองท่านเหล่านี้เป็นเพื่อนกัน ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่หาย

ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูง แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงแทบจะผูกคอตายไปหลายหน

คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษๆ โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย พยาบาลจะให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ก็ไม่สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวดแล้วก็ภาวนาบริกรรมพุทโธ ๆๆๆ ทำ อาปานัสสติไปเรื่อยๆ ที่ผมทำแบบนี้ได้เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2500 ผมบวชพระที่วัดราชาธิวาส หนึ่งพรรษา วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่อาการปวดก็สงบลง มันก็เป็นเช่นนี้คือ ปวดสักพักแล้วก็บรรเทา พอสงบผมก็สงบจิตทำสมาธิต่อไป

ประมาณสามทุ่มเศษๆ ผมก็หลับตาเห็น… เด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง ก็ลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า “ใครมา?..”

ได้รับคำตอบว่า “ดึกแล้ว…ไม่มีใครมาหรอก”

ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนยังกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่หน้าตายังเด็ก มายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล เมื่อเห็นเช่นนั้น ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า.. “หนูเป็นใคร มาทำไมที่นี่…”

ผมพูดออกมาดังๆ เพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน รวมทั้งคุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์จนทุกวันนี้ และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย

ภรรยาผมมาเขย่าแขนแล้วพูดว่า … “เธอ นี่อยู่นี่ๆ” ก็คงคิดว่าผมป่วยมากจนเพ้อ ผมก็บอกว่า “ไม่ได้เพ้อ หรือเสียสติอะไรหรอก…” “แต่ว่ามีใครเห็นไหม หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่..” สองคนนั้นตอบว่า “ไม่มีใครอีกแล้ว…”

ผมสังเกตเห็นว่าทั้งสองคนนั้นขยับตัวเข้ามาชิดกัน ภรรยาทำท่าจะสวดมนต์หรือพนมมือไหว้พระปลกๆ แต่ผมก็ยังข้องใจเพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสี่ยม !

ผมก็เลยพูดออกมาดังๆ กับภรรยาและพยาบาลในห้องว่า “จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆ จำๆ ไว้ด้วย” แล้วผมก็ถามด้วยเสียงดังๆ ว่า “หนูเป็นใคร… มาทำไมในห้องนี้ ?”

แม่หนูตอบว่า “หนูเคยป่วยในห้องนี้และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว”

ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด .. “อ้อ ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ .. หนูเป็นอะไรตาย?” “ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ”

ภรรยาและพยาบาลช่วยกันจดใหญ่ “หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?” “ตาหนูเป็นพระยาค่ะ” ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วยตัว “อ” ลงท้ายด้วย “สิริ” ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินกันทุกคน

“งั้นหนูก็เป็นหลาน…” ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออกแล้วพูดออกมาว่า “หลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ”

หนูคนนั้นก็ตอบว่า “ใช่ค่ะ คุณอาเก่งมาก” “แล้วพ่อของหนูล่ะ”

“คุณอาไม่รู้จักหรอกค่ะ” ผมถามต่อไปว่า “หนูมีพี่น้องกี่คน” “มีสามคนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว”

ผมทบทวนคำพูดดังๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย

“หนูมานี่มีประสงค์อะไรจ๊ะ” “หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีกลายที่ตึกเด็ก เขาบอกว่าเขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เขาอยากจะมาหา และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ”

จากนั้นแม่หนูอ้วนก็หายไป หายวับไปเลย ผมก็ลุกขึ้นนั่งเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยากับพยาบาลฟัง พยาบาลคนนั้นตื่นเต้นมากพลางบอกกับผมว่า พรุ่งนี้เช้าจะไปถามหัวหน้าตึก ขอค้นประวัติและขอทราบว่า ที่ตึกนี้และห้องนี้เมื่อประมาณ ปี 2502 มีเด็กผู้หญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้ ห้องนี้หรือเปล่า เพราะเธอแปลกใจและสนใจมากที่ผมพูดกับแม่หนูคนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน…

จากนั้นผมก็เข้านอน โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธๆๆๆไปด้วย

ประมาณห้าทุ่มคืนเดียวกันนั้นเอง ด้วยอาการปวดประสาทอย่างรุนแรง ทำให้ผมตื่นขึ้นมาอีก แต่สองคนที่อยู่ในห้องหลับไปแล้ว ตอนนี้เงียบสงัดแต่ผมนอนกุมขมับ กุมศีรษะด้านขวาอยู่คนเดียวด้วยความปวด ที่ออกจะรุนแรงเอาการอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่หูว่า “เธอ พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง..เข้ามาซิ”

ผมลืมตาขึ้นมาก็ไม่เห็นมีอะไร… แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงขึ้นอีกว่า “เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ” ผมลืมตาขึ้นอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนเข้ามายืนข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วน ก็คนเก่า อีกคนหนึ่งอยู่ในวัย 12 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมาข้างเตียงผมแล้วพูดว่า “พ่อ หนูมาช่วยพ่อ”

ผมจึงเรียกภรรยาและนางพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า “เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม เด็กๆ มายืนอยู่ที่นี่แน่ะ”

พยาบาลเปิดไฟในห้องสว่างพรึ่บ แล้วบอกว่า “ไม่เห็นมีใครมาซักคนนี่คะ”

“มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงล่ะ..” พลางผมก็ยื่นมือออกชี้ไปที่ตัวเด็ก..

คุณใบยกเก้าอี้มาสองตัวให้แขกที่มองไม่เห็นนั่งข้างเตียงทันที

ภรรยาผมกับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน แล้วทั้งสองก็พนมมือทำท่าสวดมนต์อีกรอบ หนูอ้วนยืนอยู่สักครู่แล้วก็ลาไป “คุณอาคะ หนูไปก่อนนะคะ” ว่าแล้วก็หายวับไปทันที เหลือแต่แม่หนูตัวเล็กคนเดียว … ตอนนี้เธอนั่งบนเก้าอีกข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้ แล้วถามว่า… “คุณพ่อปวดศีรษะมากหรือคะ” ผมตอบว่า “ตอนนี้ปวดมากจ๊ะ” เธอยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะ ด้านที่ปวดของผมไว้แล้วบอกว่า “สักครู่จะทุเลา” ต่อจากนั้นสักพักอาการก็สงบ ผมจึงถามเธอว่า “หนูเป็นใคร แล้วทำไมมาเรียกว่าพ่อ” ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก “ชาติที่แล้วหนูเป็นลูกของพ่อ” ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูว่า “อ้อ ชาติที่แล้วหนูเป็นลูกของพ่อ”

ต่อไปนี้เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กผู้หญิงคนนั้น โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย “ชาติก่อนนี้ หนูเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” “เป็นผู้หญิงค่ะ” “หนูเป็นอะไรตายในชาติก่อน” “หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น และตกน้ำตาย” “หนูตายที่ไหน” “ตกน้ำตายที่โรงโม่”

ผมไม่รู้จักท่าโรงโม่ จึงถามเธอว่า “โรงโม่อยู่ที่ไหน” “ก็แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่” “ตอนที่ตกน้ำตายหนูอายุเท่าไหร่” “ก็สิบกว่าขวบค่ะ” “ชาติก่อนนี้พ่อเป็นอะไร” “ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุม นักโทษและราชมัล” …. “ราชมัลเป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก” “ราชมัลเป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย”

ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ผมไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น แล้วจึงถามแม่หนูนั้นว่า “ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย”

เธอตอบว่า “ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามมาสนองในชาตินี้” ผมแย้งว่า “ก็ทำตามหน้าที่ ลูกบอกว่าหน้าที่คือควบคุมทรมานเขาเราไม่ทำเราก็ผิด”

แม่หนูตอบว่า “ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่ สูงดำ ถูกคดีว่าฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่างๆ แก่ราษฎร ความจริงนั้นเขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านมารวมหัวกันใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถามเขา เขาไม่ได้ทำก็ไม่รับ ราชมัลก็คือพ่อ ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคา ตอกเล็บแล้วเอาเครื่องมือมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบเพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีก เพื่อให้เขารับสัตย์ว่าเป็น เขาก็ไม่รับ ในที่สุดก็ทนทรมานไม่ไหวก็ขาดใจตาย ก่อนตายเขาผูกใจอาฆาตพยาบาทไว้ว่า จะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร ตอนนี้ กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้วจึงได้ป่วยเช่นนี้” ผมทวนคำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาผมและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด

ผมจึงถามต่อไปว่า “เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที” แม่หนูตอบว่า “พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมก็สลับกันไป กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้”

“แล้วเมื่อไหร่จะหมดบาปหมดกรรม” “อีกสี่ปี” แม่หนูตอบ “พ.ศ. 2508 พ่อถึงจะหมดกรรมนี้ แล้วจึงจะหายป่วย” ภรรยาผมนั่งฟังอยู่ตลอดก็ขอให้ผมถามว่าเมื่อชาติก่อนเธอเป็นอะไร แม่หนูตอบว่า “คุณแม่เมื่อชาติก่อนนี้เป็นแม่ชี บวชเป็นแม่ชีถือศีลกินเพลอยู่วัดใต้” ผมก็ไม่ทราบว่าวัดใต้ไหน

แม่หนูบอกว่า “เวลาผมปวดประสาทมากๆ ให้นึกถึงเธอ เธอจะมาช่วยให้บรรเทาเบาบางลง” แล้วก็เอามือมากุมศีรษะข้างที่ปวด พลางก็พูดว่า “พรุ่งนี้แปดนาฬิกา หมอจะเอาพ่อไปผ่ากะโหลกศีรษะ”

ผมย้ำว่า “พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากะโหลกศีรษะพ่อหรือ ?” เธอก็พยักหน้ารับคำ แล้วก็บอกว่า “หนูจะไปก่อนล่ะ” ภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก และแล้วก็ม่อยหลับกันไปทั้งสามคน

รุ่งขึ้นเวลา 7 นาฬิกา อาจารย์หมออุดม มาตรวจเยี่ยมได้รับรายงานว่าเมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจนดิ้นถึงสองครั้ง ท่านยืนคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “แปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก” แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมนำคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด…

ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที่ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือ ทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกาหมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีความสงสัย! สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนหัวโกนคิ้วด้านขวาขึ้นไปถึงกลางศีรษะ แล้วทำความสะอาด ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สะลึมสะลือก็ประเภทมอร์ฟีน จวน ๆ 8 นาฬิกา รถเข็นคนไข้ก็เข้ามาเทียบ เอาตัวผมนอนเปลเข็นไปในห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผมตามไปดูด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว และแล้วผมก็สิ้นสติไปเมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด

ผมมาทราบตอนหลังว่าในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ผมได้รับการผ่าตัดนั้น พยาบาลในห้องได้ไปคุยกับหัวหน้าตึกแล้วคุยกันต่อๆ กันไป ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น ทุกคนก็อาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แปลกใจทุกคน ที่ประหลาดใจมากก็คือ ในเมื่อผมเรียนจบจากศิริราชไปตั้งกว่าสิบปี จบแล้วออกไปเลยไม่ทำงานอยู่ในนั้น เหตุไฉนจึงทราบเรื่องเด็กผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน และเด็กผู้นั้นก็ถึงแก่กรรมที่เตียงผมป่วยในตึกวิบูลลักษณ์นั้น และเธอตายในปีนั้น ด้วยความสนใจ พยาบาลหัวหน้าตึกได้ไปค้นประวัติและสืบประวัติของผู้ป่วยในตึกนี้ในปี พ.ศ. 2502-2503 ค้นอยู่นานเพราะไม่ทราบชื่อผู้ป่วย และในที่สุดก็ค้นพบว่า…ได้มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งป่วยและถึงแก่กรรมด้วยโรคอ้วนในห้องนี้จริง

ความประหลาดใจในหมู่คนที่รู้เรื่องก็ชักจะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาทีละน้อยๆ… แต่พอพยาบาลที่เฝ้าเธอบอกว่า เด็กที่มาหาคุณหมดที่บอกว่าเป็นลูกในชาติก่อนเมื่อคืนนี้มาบอกว่าจะถูกผ่าตัดเช้าวันนี้ พอรุ่งขึ้นเช้าอาจารย์อุดมก็มาเอาตัวไปจริงๆ …แปลกนะเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ… พยาบาลสาวพึมพำกันทั้งตึก และจากตึกนี้ไปตึกโน้น ไปจนทั่วโรงพยาบาลภายในไม่กี่วัน

อาจารย์หมออุดม ท่านเคยรักษาโรคนี้ผมมาสองสามครั้งแล้วโดยฉีดยาเข้าไปในกะโหลกศีรษะ หมายจะให้ยาไปทำลายประสาทส่วนที่ปวด แต่ไม่ได้ผล มันเหมือนกับตีงูไม่ให้หลังหัก โรคก็อาละวาดใหญ่ ที่ฉีดยาเข้าไปในศีรษะนี้ประมาณ 4 ครั้งในสองปี เมื่อฉีดยาไม่ได้ผล ท่านก็เลยผ่าลงไปในสมองตัดปมประสาทเสียเลย โดยเจาะกะโหลกศีรษะด้านขวาเหนือหูขึ้นมาหน่อย คงจะเหมือนกับชาติก่อนที่ไปบีบขมับเขาตามที่แม่หนูเธอบอก เจาะแล้วเอากระดูกกะโหลกออกมา ขนาดราวๆ เหรียญสองสลึง ทำให้มีรูเกิดขึ้น จากนั้นก็เอามีดเอากรรไกรเข้าไปตัดเส้นประสาทที่ห้า แต่อาจารย์ท่านว่าการผ่าตัดทำได้ด้วยความยากลำบากมาก เพราะเรื้อรังมานาน ประกอบกับได้รับการฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปหลายหน มันก็เกิดพังผืดขึ้น ผลการผ่าตัดไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าคงได้ผลมิน้อย

การผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราวๆ สี่ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว พอราวๆ เที่ยงเขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ที่ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย ซึ่งทั้งสองท่านนี้มีศักดิ์เป็นลุง เป็นป้าผมด้วย ทุกคนคิดว่าผมคงตายไปแล้ว เพราะนานเหลือเกินระหว่างที่คอยรอรับผมในห้อง ภรรยาและพยาบาลได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกท่านฟัง ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ

ค่ำวันนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก ทีนี้ปวดสองอย่างคือปวดเจ็บในสมองที่ผ่า ปวดแผล มิหนำซ้ำโรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานมากกว่าเก่า มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะ ร้องปวดดิ้นไป และแล้วก็นึกขึ้นได้…..

“หนู ช่วยพ่อด้วย” ผมตะโกนออกมาดัง ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างก็ได้รับฟังเรื่องราวโดยละเอียด ต่างก็สงบ มีแต่ผมผู้เดียวทุรนทุรายอยู่บนเตียง… ชั่วอึดใจเดียวก็ปรากฎร่างของเด็กหญิงที่เคยบอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อนมานั่งอยู่ข้างเตียง ผมจึงถามว่า “มาแล้วหรือลูก ช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือจะทนแล้ว”

แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ แล้วพูดว่า “เดี๋ยวจะทุเลา”

ก็เป็นจริงดังว่า อาการปวดก็ทุเลา พยาบาลซึ่งถือเข็มฉีดยามาก็เลยไม่ต้องฉีด คุณใบก็ช่วยยกเก้าอี้มาให้แขกที่แลไม่เห็นนั่งอย่างเคย… แม่หนูก็นั่งข้างเตียง เอามือเท้าคางอย่างเดิม ผมก็ถามว่า “หนูอ้วนไปไหนล่ะ” เธอตอบว่า “วันนี้ไม่ได้มา” ทุกคนในห้องฟังผมคุยกับแม่หนู ผมถามต่อไปว่า “หนูชื่ออะไรจ๊ะ” เธอตอบว่า “ก่อนที่จะตายนี้หนูชื่อ พิมพวดี” “หนูเป็นอะไรตาย” “หนูเป็นไข้เลือดออกตายค่ะ” “ตายที่นี่หรือ” “ตายที่ตึกเด็กค่ะ” “ตายเมื่อไหร่จ๊ะ” “เมื่อปี 2502 ค่ะ” “หนูมีพี่น้องกี่คนจ๊ะ” “มีสามคนค่ะ” “ผู้หญิงผู้ชายกี่คน” “หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว” “พ่อแม่คงจะเสียใจมากที่หนูตายไป” “พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างศาลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ เอาชื่อหนูไปตั้งศาลานี้มีรูปหนูและมีคำจารึก มีกระดูกที่เผาแล้วของหนูฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ..พ่อดีขึ้นแล้ว หนูลาไปก่อนแล้วจะมาหาพ่ออีกค่ะ”

คำพูดทุกคำระหว่างแม่หนูพิมพวดีกับผม ทุกคนในห้องได้ยินได้ฟัง และฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจริงๆ พยาบาลฉีดยาให้ผมอีก แล้วผมก็หลับไปจนเช้า โดยไม่มีอาการปวดรุนแรงมารบกวนอีกเลยในคืนนั้น

เหมือนกับยังไม่สิ้นเวรกรรม อาการของโรคที่สงบไปคืนหนึ่งนั้น พอรุ่งขึ้นเช้ามันก็เอาอีก ปวดอีก ทุรนทุรายร้องครวญครางอีก อาจารย์ท่านมาดูอาการทุกเช้า ทุกวัน สั่งการรักษาทุกวัน เช้าสบาย สายปวด กลางวันสบาย บ่ายปวดดิ้น หรือพอตอนเย็นสบายชื่นฉ่ำ พอค่ำก็ร้องครวญคราง เป็นอยู่อย่างนี้อีกสามหรือสี่วัน ทุกครั้งที่ปวดผมก็จะนึกถึงหนูพิมพวดีทันที ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวันก็จะได้ยินเสียงพูดว่า “พ่อ หนูมาแล้ว….” แล้วเธอก็เอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา คำพูดที่ผมพูดก็คือ “มาแล้วหรือลูก…” ทุกๆ คนที่มาเยี่ยมผมหรือมาอยู่ในห้องจะเงียบสงบ คอยฟังคำพูดของผมที่พูดกับวิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์อย่างใจจดใจจ่อเหมือนนัดกันไว้

ในเย็นวันนั้น เย็นมากแล้ว ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม ท่านได้ไปเยี่ยมพร้อมบุตรชายของท่านชื่อ คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ หรือที่ญาติเรียกชื่อเล่นว่า “บู๊” เป็นคนขับรถพี่ชายผมไปที่ศิริราช และพี่ชายผมท่านถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว จะเหลือก็คุณวีระวัฒน์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดำรงตำแหน่งเป็น รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรม คุณทวีเป็นประจักษ์พยานอีกท่านหนึ่ง โดยในขณะนั้น อาการปวดของผมกำเริบปวดขึ้นมากๆ ผมนอนร้องเรียกหนูพิมพ์ให้มาช่วย คุณทวีก็ทราบเรื่องอยู่บ้างแล้วจากคำบอกเล่าของญาติๆ ท่านก็เลยนั่งอยู่ ซึ่งปกติท่านไปเยี่ยมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมากและร้องเรียกหนูพิมพ์ว่า “ลูก..มาช่วยพ่อที”

คุณทวีทราบเรื่องนั้นจากญาติพี่น้องหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ท่านมาเห็นพอดี คือพอผมเรียกหนูพิมพ์ หนูพิมพ์ก็มา ผมก็ถามว่า “ผ่าตัดแล้วทำไมยังไม่หายอีก” หนูพิมพ์ตอบว่า “ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรหมดกรรมที่ทำไว้..”

“แล้วเมื่อไหร่จะหาย” เธอตอบว่า “ก็ราวๆ อีกสี่ปี พ.ศ. 2508 นั่นแหละ” ผมก็ถามดังๆ ต่อไปว่า “แล้วจะทำอย่างไรต่อไป” เธอตอบว่า “พรุ่งนี้แปดโมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าตัดอีก จะต้องผ่าอีกสองครั้ง รวมเป็นสี่ครั้งในคราวนี้”

ผมก็ทวนคำพูดของเธอแล้วร้องว่า “ต้องผ่าถึงสี่ครั้งเชียวหรือ”

คุณทวีนั่งฟังอย่างสงบ ทุกคนเงียบคอยฟังครู่ใหญ่ๆ อาการปวดก็บรรเทา หนูพิมพ์จึงบอกกับผมว่า “หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับส่วนกุศลที่เขาอุทิศให้ที่ศาลาพิมพวดี..”

ทุกคนได้ยินคำพูดที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์ ผมจึงถามเธอว่า “เขาอุทิศกุศลให้เรื่องอะไร” เธอตอบว่า “เขาบำเพ็ญกุศลศพใครก็ไม่รู้ที่ศาลา คนตายมีเหรียญตรา มีสายสะพาย..” ผมก็ทวนคำพูดออกมาดังๆ

คุณทวีก็อยากจะพิสูจน์ จึงให้คุณวีระวัฒน์บุตรชายขับรถยนต์ออกไปเดี๋ยวนั้น ไปดูซิว่าที่ศาลาพิมพวดี วัดมกุฎฯ มีการบำเพ็ญกุศลศพใคร ศพมีเหรียญตราน่าจะรับพระราชทานเพลิงศพที่สุสานหลวงวัดเทพศิรินทร์ฯ เพราะหนูพิมพ์บอกว่ามีสายสะพาย คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ จึงรับขับรถออกจากศิริราชไปที่วัดมกุฎฯ ทันที ปรากฏว่าเป็นความจริง คืนนั้นมีการนำศพออกมาจากสุสานนำมาบำเพ็ญกุศล พรุ่งนี้จะรับพระราชทานเพลิงศพ เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมได้ลืมชื่อของท่านไปเสียแล้ว รูปถ่ายหน้าโกศเป็นรูปเต็มยศ มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริงๆ คุณวีระวัฒน์จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีว่าเป็นจริงอย่างที่ผมพูดทวนคำพูดทุกประการ

คุณทวีนั่งสงบนิ่ง กล่าวออกมาคำเดียวว่า “แปลก แต่จริง”

ผมต้องเล่าย้อนไปนิดหน่อย คือ ตอนที่หนูพิมพ์นั่งอยู่ข้างเตียงผมเอามือเท้าคางยันขอบเตียงอย่างเคย เธอพูดว่า “เสียดาย” ผมถามว่า “เสียดายอะไร” เธอตอบว่า “แก้วระย้าที่โคมไฟในศาลา คนที่ยกขาหยั่งวางพวงหรีด ทำขาหยั่งไปโดนแก้วช่อระย้าตกลงมาแตกหลายช่อ ทำให้ไม่สวย พ่อแม่ก็ไม่ทราบ อีกสองสามวันคุณพ่อหนูชาตินี้จะมาเยี่ยมพ่อ พ่อช่วยบอกคุณพ่อหนูให้ช่วยเปลี่ยนช่อระย้าที่ตกลงมาแตกให้ที หนูไม่สบายใจ..”

ผมทวนคำพูดนี้ให้ทุกคนได้ยิน รวมทั้งคุณทวีด้วยก่อนที่คุณวีระวัฒน์จะกลับจากวัด มารายงานเรื่องศาลานั้น

คุณทวีและบุตรชายกลับไปด้วยความประหลาดใจว่า ผมนอนเจ็บอยู่ตั้งสิบกว่าวันแล้ว ทำไมรู้เรื่องที่จะเผาศพรองอธิบดีกรมเจ้าท่า และศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศาลาพิมพวดี วิญญาณคงมาบอกจริงๆ วิญญาณมีจริงหรือ คนตายแล้วยังวนเวียนอยู่หรืออะไรที่มาพูดกับน้องชาย ผมว่าท่านคงนอนคิดไปนาน

คืนนั้นผมปวดอีกครั้งหนึ่ง พอเช้าอาจารย์อุดมก็มาเยี่ยมอย่างเช่นเคย พอทราบว่ายังปวดอีก ท่านก็ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาสั่งพยาบาลว่า ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมคนไข้นี้ไปห้องผ่าตัดอีกทีเช้าวันนี้ก่อนแปดนาฬิกา

แล้วผมก็ถูกนำไปห้องผ่าตัด ผ่าตัดดึงเอารากประสาทเส้นนี้ออกมา โดยพยายามดึงเอาออกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ราวๆ ตอนเที่ยงก็กลับมาห้องนอนที่ตึกพัก โดยสลบมาบนรถเปลตามเคย

พอฟื้นขึ้นมา อาการปวดเจ็บแผลก็มาแทน แต่อันนี้ระงับได้ด้วยการฉีดยา พยาบาลฉีดยาระงับปวดให้เป็นระยะๆ พอค่ำลงก็สงบญาติพี่น้อง เพื่อนๆ เข้ามาเยี่ยมกันมากมายตามเคย ที่มาเยี่ยมจริงๆ ก็มี ที่อยากจะรู้เรื่องวิญญาณของเด็กที่มาช่วยผมก็มี พอสักสามทุ่มคืนนั้น หนูพิมพ์ก็มาอีกตามเคย เธอเอามือมาวางที่ขมับข้างที่ผมปวดทั้งแผลผ่าตัด และที่ปวดอยู่เดิม ทำอย่างไรก็ไม่หาย ผมนอนทนเอา ภาวนาบริกรรมจนหลับไปในที่สุด แล้วเธอก็จากไป

ข่าวลือ ข่าวจากปากต่อปาก ไปไกลเกินกว่าประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชน และก็แน่นอน ข่าวนั้นก็ต้องการมากกว่าความจริง จนวันหนึ่ง คุณชิต สุวรรณปัทม์ เคยเป็นพยาบาลอาวุโสที่สายนัดดาคลินิกของ ท่านนายแพทย์ ม.ล.เต่อ สนิทวงศ์ ซึ่งผมเคยทำงานกับท่านเมื่อ พ.ศ. 2493-2495 ก็สามสิบแปดปีมาแล้ว เป็นคนที่ชอบพอกันในสมัยที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เธอมาเพื่อมาเยี่ยมแล้วมาบอกกับผมว่าจะมีคนมาพบมาหาและคุยเรื่องหนูพิมพวดี ผมก็บอกเธอว่าก็มีอย่างที่พยาบาลและภรรยาผมได้ยินได้ฟังเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น คุณชิตนี่ถึงแก่กรรมไปเมื่ออายุราวๆ 70 ปี

ถัดต่อมาอีกวันหรือสองวัน เย็นๆ ก็มีชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อนมาขอเยี่ยม ดูเหมือนจะเป็นเวลา 18-19 น. ขณะนั้นอาการผมดีขึ้นนิดหน่อย ไม่ปวดประสาท สองท่านนี้เอาพวงมาลัยดอกมะลิพวงใหญ่มาแขวนให้ผมที่ หัวเตียงนอน ในห้องเผอิญจุดธูปหอมบูชาพระ กลิ่นผสมกันหอมพิกล ทำท่าจะเหมือนศาลเจ้าไหหลำไปโน่น…

สักครู่ใหญ่คุณผู้ชายที่มาด้วยก็ขออนุญาตเอารูปถ่ายเด็กผู้หญิงราวๆ สามสิบใบคงได้ มาวางเรียงบนที่นอนผม ผมชักสงสัยว่า

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท