วันนี้มีโอกาสได้ทำฟันให้เด็กหลายคน หลังจากประชุม อบรม มาตลอด เด็กคนแรกฟันผุไม่มากนัก เข้ามาในห้องทำฟันร้องตลอดเวลาว่า แม่จ๋า หนูไม่อยากทำฟัน หนูไม่อยากทำฟัน แต่คุณแม่ต้องการจะให้มาอุดฟันให้ได้ บังคับเด็กโดยการตีและข่มขู่ หมอฟันพยายามอธิบายให้แม่ทราบว่าเด็กอายุประมาณ 4 ปี สามารถเข้าใจคำพูดได้พอสมควร น่าจะมีการอธิบายและทำความเข้าใจได้ จากนั้นให้แม่พาเด็กไปนอกห้องเพื่อพูดคุยให้เข้าใจกันก่อน เด็กคนที่สองฟันผุมาก ๆ เข้ามาในห้องฟันด้วยท่าทีที่กล้าหาญ หมอคิดว่าเด็กคนนี้เก่งนะ แต่พอขึ้นเตียงปรากฎว่าไม่ต่างจากคนแรก ร้อง แม่จ๋า หนูไม่อยากทำฟัน หนูไม่อยากทำฟัน แม่เด็กคนนี้ต่างกับแม่เด็กคนแรก เห็นลูกเป็นอย่างนี้ บอกหมอทันที่ว่า หมอเลื่อนไปก่อนได้ไหม หนูไม่อยากให้ลูกร้อง หมอฟันจึงอธิบายว่าถ้าเลื่อนนัดไปเรื่อย ๆ (เด็กเคยไปหาหมอฟันมาหลายหมอแล้ว ทำไม่ได้สักที) ลูกก็ไม่ได้ทำสักที และฟันลูกก็รุณแรงมากแล้ว น่าจะต้องทำให้ได้ หลังจากอธิบายก็ให้แม่นั่งดูเฉย ๆ จากนั้นหมอฟันก็ทำฟันให้เด็กโดยวิธีบอก แสดงให้ดู เด็กมีท่าทีต่อต้านเล็กน้อย ร้องไห้บ้างตอนฉีดยาชา แต่หลังจากนั้นก็ยอมทำได้ดี ผู้ปกครองพึงพอใจ และเด็กก็ happy กลับไป หลังจากนั้นเมื่อเด็กคนที่สองออกไปนอกห้อง เด็กคนแรกได้เห็นว่าไม่มีอะไรน่ากลัว จึงได้ยอมเข้ามาในห้องฟัน หมอฟันทำฟันด้วยเทคนิค บอก แสดงให้ดู เช่นเดิม และให้แม่เข้ามาโดยบอกให้แม่ดูเฉย ๆ ไม่ต้องออกเสียงสั่งลูก ปรากฎว่าเด็กยอมให้ทำฟันอย่างดี ผู้ปกครองก็พอใจ เด็กก็พบว่าการทำฟันไม่น่ากลัว เพราะเด็กฟันผุน้อยทำฟันนิดเดียว ไม่เจ็บ ไม่ต้องฉีดยาชา จากการทำฟันเด็กทั้ง 2 คน จะเห็นได้ว่า ทันตแพทย์เด็ก ต้องอาศัยความสัมพันธ์กับผู้ปกครองอย่างยิ่ง นอกเหนือไปจากตัวเด็กเอง บางครั้งทัศนคติส่วนตัวของพ่อแม่ อาจมีผลอย่างยิ่งต่อพฤติกรรมเด็ก บางครั้งต้องแก้ที่พฤติกรรมผู้ปกครองก่อน เพราะถ้าหากผู้ปกครองได้เตรียมเด็กมาอย่างดีแล้ว(ไม่ขู่เด็ก หรือย้ำกับเด็กตลอดเวลาจนเด็กลัวไปเอง หรือผู้ปกครองทำท่ากลัวจนเด็กรับรู้ได้) คงจะไม่มีคำพูดของเด็กที่ว่า แม่จ๋า หนูไม่อยากทำฟันอย่างแน่นอน..... |
เด็กๆผมคัดจมูกบ่อยๆ เลยหายใจทางปาก ไปทำฝันแล้วทรมานมาก
ไม่เจ็บ (แทบจะไม่เคยเจ็บ) แต่หายใจไม่ออก T_T
แล้วก็รู้สึกเหมือนว่า ชาวบ้าน ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ -_-'
ก็บอกแล้วว่าไม่เจ็บ แต่ขอพักหน่อยได้มะ :-P