หากเขียนบทความกันทุกวัน วันละสี่ห้าบทความ แล้วเรื่องในสมองเราจะหมดไหม


ยิ่งตัดยิ่งยาว ยิ่งอ่านยิ่งงอก ยิ่งพอกยิ่งพูน ยิ่งคูณยิ่งมหาศาล

สวัสดีครับผม

     เคยตั้งคำถามกันเล่นๆ ไหมครับ หากเขียนบทความกันทุกวัน วันละบทความหรือมากกว่า แล้วเรื่องในสมองเราจะหมดไหม?

ท่านเคยตั้งคำถามเหล่านี้ไหมครับ สำหรับไม่ว่าจะมือใหม่หัดขับอย่างผมอย่างเราๆ

ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่เราพบเจอในอดีต แนวคิดในอนาคต หรือประพจน์ในปัจจุบัน ที่เราเจอกันอยู่ทุกวัน เราจะหมดเรื่องคุยใน GotoKnow จริงหรือ

จริงๆ แล้วมนุษย์ ธรรมชาติได้ถูกพัฒนาให้เป็นผู้ช่างคิดที่มีเนื้อสมองเยอะ มีระบบลอจิกที่น่าสนใจ ผมมองว่าความรู้ก็เหมือนการทำถนน ที่เค้าว่ากันว่า ยิ่งตัดยิ่งยาว ยิ่งเราตัดเรื่องราวหรือองค์ความรู้ ตัดออกมาใส่ในบล็อกนะครับ ตัดมาใส่แล้วมีคนช่วยต่อยอด ได้ต่อยอด ได้เพิ่มเติมออกไปอีก ทำให้คิดต่อ ทำต่อ เสริมต่อ ปรับปรุง พัฒนา วนเวียนจนเกิดเป็นองค์ความรู้ขึ้นมานำเสนอใหม่อยู่ดี

 มีคนยืนอยู่ที่มุมของรูปสามเหลี่ยม มุมละคน และมีลูกบอลลูกหนึ่งวางอยู่ตรงกลาง ระบายสีต่างๆ กัน แล้วถามแต่ละคนว่าที่เห็นนั่นคืออะไร โดยไม่เคลื่อนที่ แต่ละคนจะกล้ายืนยังว่ามันเป็นทรงกลมหรือลูกบอลไหมครับ แต่หากเอาสามคนมารวมกัน แล้วตอบร่วมกัน คงได้องค์ที่น่าจะสรุปได้ว่า น่าจะเป็นลูกบอลที่กลมหรือแหว่ง เพราะมองกันคนละมุมแต่มองสิ่งเดียวกัน แยกกันหรือประกอบกัน ความหนักแน่นต่างกัน

อีกนัยหนึ่งทำให้เราต้องวิ่งไปหาเรื่องอยากรู้อยากเห็นเพื่อจะนำมาเขียนกันต่อ ซึ่งก็เป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้กันต่อไป ได้เช่นกัน จากสิ่งที่เคยรู้หล่ะหลวม หรือรู้แบบหลวมๆ พอมีคนมาช่วยมอง ก็จะช่วยอุดช่องโหว่งได้มากขึ้น การไปหาข้อมูลอื่นมาเพิ่มเติม แล้วประมวลออกมาอีกรอบที่แน่นกว่าเดิม

องค์ความรู้ในโลกนี้ ทั้งที่ค้นพบแล้วและยังไม่ค้นพบ ยังมีอยู่อีกเยอะ บางอย่างเทคโนโลยีวิ่งไปไม่ถึง สิ่งที่จะทำก็ต้องรอก่อน ดังนั้นข้อจำกัดบางๆ ที่เราเจอ ก็จะเป็นตัวที่ทำให้เราคิดหาหนทางในการนำไปสู่คำตอบที่ดีกว่า แล้วเกิดเป็นแขนงของแนวคิดที่นำไปสู่การพัฒนาและเป็นแนวทางในการวิ่งไปสู่ความทนทานที่แข็งแกร่งมากขึ้น

ยิ่งตัดยิ่งยาว ยิ่งสาวยิ่งยืด ยิ่งอ่านยิ่งงอก ยิ่งพอกยิ่งพูน ยิ่งคูณยิ่งมหาศาล

แล้วคุณหล่ะครับ มีความเห็นอย่างไรครับ ยินดีทุกความเห็นครับผม

ขอแสดงความนับถือ

สมพร ช่วยอารีย์

หมายเลขบันทึก: 82326เขียนเมื่อ 7 มีนาคม 2007 00:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (28)

ขอตอบยาวๆ ว่า เห็นด้วยครับ
   ที่ตอบยาวมากนี่ เพราะทำงานไม่ทันครับ  ให้งานเขาไว้เยอะ ตรวจจะไม่ทันอยู่แล้ว .. โธ่ ..กรรมใดใครก่อ !

  • ไม่หมดหรอกน้องเม้งครับ
  • พี่ว่ายิ่งเขียนยิ่งมากขึ้นเพราะสมองคิดมากขึ้น การถกเถียง เรียนรู้แลกเปลี่ยนได้สร้างประเด็นเพิ่มขึ้นมากมาย
  • อาจจะเป็นไปได้ประเด็นที่คิดอาจจะไม่เหมาะกับ G2K เช่นของพี่มีบทความใน Stock มากกว่าที่ลงใน G2K เป็น 2 เท่า แต่ไม่เหมาะที่จะเอามาลง เพียงแต่เวียนให้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น เพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มคนทำงานเท่านั้น หากเอามาใส่ G2K คนอื่นอ่านแล้วจะไม่เข้าใจ จึงคัดเฉพาะเรื่องที่คนทั่วไปรับรู้ได้ 
  • ยกตัวอย่าง ท่านครูบาฯซิครับ ท่านเขียนวันละหลายบทความ ยิ่งเขียนยิ่งคิด ยิ่งคิดยิ่งมีประเด็น
  • ประเด็นดีครับ
  • ง่วงนอนแล้วหล่ะ   เดี๋ยวพรุ่งนี้มีคุมสอบ
  • คิดว่าความคิดของเราไม่มีวันหมดหรอกนะ
  • อย่างหว้ามองเศรษฐศาสตร์เพียงมุมเดียว
  • แต่พอได้แลกเปลี่ยนกับศาสตร์อื่นๆก็ทำให้เรา
  • ได้มุมมองที่หลากหลายขึ้น  คนอื่นอาจมองว่าเราไร้สาระ  เขียนแต่บล็อกทุกวัน
  • แต่หารู้ไม่ว่า  "ยิ่งเป็นการลับสมองมากขึ้นทุกวัน"
  • รู้มั้ยวันนี้ได้คุยกับคุณเม้ง   เมื่อกี๊ก็ออกข้อสอบได้ 1 ข้อ
  • นับวันความคิดของเราก็จะยิ่งต่อยอดไปเรื่อยๆค่ะ
  • ไปนอนแล้วนะคะ   ราตรีสวัสดิ์จ้า 
  • เฝ้ายามไปก่อนนะ

สวัสดีครับคุณสมพร

น่าคิดมากทีเดียวนะครับว่าเรื่องในสมองจะหมดไหม ถ้าเราเขียนกันวันละ 4-5 บทความ

ผมมองว่า ถ้าเกิดเราเขียนอย่างเดียวแต่ไม่มีคนมาคุยมาตอบ เรื่องในสมองคงไม่หมดครับ แต่มันจะไม่มีอะไรใหม่เพิ่มมากขึ้น

ในตอนแรกที่เราเขียนเราอาจจะรู้สึกว่า ว้าววว มีเรื่องอยู่ในสมองเต็มไปหมด แต่พอมาเรื่องที่ 3 ผมเชื่อว่าตามหลักของ diminishing returns เรื่องมันคงจะหมดไปอย่างแน่นอนครับ

แต่ถ้ามีคนมาอ่านบทความและเขียนต่อความเห็นไปเรื่อยๆ มันก็หมดอยู่ดีแหละครับตามหลักของ diminishing returns เพียงแต่ว่าอาจจะใช้เวลานานหน่อย อาจจะไม่ใช่แค่ 4-5 บทความ

จะเป็นเท่าไร อืมมม อันนี้น่าสนใจครับ เพราะว่ามันเป็นฟังก์ชั่นของกลุ่มประชากรที่มาแลกเปลี่ยนความรู้และจำนวนความคิดที่มีอยู่ของตัวประชากรแต่ละคน

สมมติว่าในกลุ่มนี้มีผมและคุณสมพรสองคนนะครับ สมมติต่อไปว่าเราเขียนได้ 5 บทความต่อวัน แต่เมื่ออ่านบทความของใครคนใดคนหนึ่งเราจะสามารถต่อยอดได้ 5 บทความ จากนั้นก็ 4, 3, 2, 1 ไปเรื่อยๆ ตามหลักของ law of deminishing returns

ผมคิดว่าเราสองคนคงจะแตกบทความต่อไปได้

(5 ของคุณสมพรเป็นคนเริ่มคิด * 5 ที่ผมแตกได้ * 4 ที่คุณสมพรอ่านแล้วแตกความคิดต่อออกมา * 4 *......* 1 ที่ผมอ่านแล้วแตกความคิดที่ต่อยอดออกมาของคุณสมพร)^2

กำลังสองเพราะว่าอีกอันเป็นเรื่องที่ผมเริ่มคิดก่อนครับ

เราสามารถ generalize ออกมาได้ว่า ถ้าให้

N คือคนที่อยู่ในกลุ่มประชากรที่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

M คือความคิดที่แต่ละคนจะแตกต่อยอดออกมาได้

จำนวนบทความที่มากที่สุด ที่จะเกิดขึ้นได้คือ (M!)^N ครับ

 

  • เห็นด้วยครับน้องเม้ง
  • ปัญหาคือเรื่องของเวลา
  • ต้องบริหารเวลาดีๆครับ
  • ขอบคุณครับผม
  • กราบขอบพระคุณ พี่แฮนดี้
    ขอให้เขียนงาน ตรวจงานให้ท้นนะครับ อิๆ เห็นใจเลยครับ กรรมใดใครก่อ อิๆ ยิ่งสอนดีๆ สนุกๆ อย่างอาจารย์ เด็กก็ตอบกันเยอะๆ อ่านกันจุกเลยครับ ขอเป็นกำลังใจครับ
  • กราบขอบพระคุณพี่บางทรายครับ
    เห็นด้วยมากๆ เลยครับ เสียดายครับ ที่เริ่มเขียนช้าไป แต่ตอนนี้กังวลเรื่องความต่อเนื่องครับ เกรงว่าเดี๋ยวพอเข้าช่วงสอบจบ คงมีการหายนิดหน่อย แต่จะเข้ามาใส่วันละข้อคิดก็ยังดีครับ สั้นๆ ทักทายกันแบบหยอดกลเม็ดก็ยังดีครับ
  • สวัสดีครับ อ.ลูกหว้า
    เห็นชื่อคุณลูกหว้านี้ นึกถึงลูกหว้าข้างนาที่บ้านครับ กินแล้วปากดำเลย อิๆ แล้วมาอวดกันว่ากินแล้วปากใคร ลิ้นใครดำกว่ากัน ฮ่าๆ
    ขอให้สนุกกับการสอนครับ
  • พรุ่งนี้ก็ต้องทำหล่อครับ ทีวีมาสัมภาษณ์ครับ แล้วจะเอามาเล่าครับ ว่าเป็นไงบ้างครับ (นี่ชักจะเริ่มดัง แต่ไม่อยากดังครับ ดังแล้วไม่ได้ทำงานครับ ไม่หนุก)
  • ความเห็นอื่น ยินดีต้อนรับ ครับผม

อาจารย์เม้ง...

เคยคิดเหมือนกัน แต่เฉพาะคำบาลี...

เขียนปรกติวันละคำ (อาจหยุดบ้างถ้ายุ่งๆ ) คงจะมรณภาพเสียก่อน คำยังไม่หมด...

ประมาณนั้น

เจริญพร

  • สนับสนุนทุกคน
  • ยิ่งคิดยิ่งมีอะไรออกมามาก
  • โดยเฉพาะผมจากไม่เคยเขียนอะไรได้เลย
  • เดี๋ยวนี้พอได้บ้าง
  • ความคิดของคนเราไม่มีวันหมดไปจากโลกตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยุ่
  • มุมมองของแต่ละคนมีอะไรที่น่าเรียนรู้และน่าศึกษา
  • ต่างคนต่างที่ต่างประสบการณ์แต่มีใจเดียวกันที่จะถ่ายทอดประสบการณ์แก่กันเพื่อเป็นวิทยาทาน
  • นี้แหละคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต

 

ขอโทษทีครับ ผมมาอ่านคอมเม้นท์ที่ผมคิดแล้วผมงง นิดหน่อย

ผมมองว่าเรื่องไม่หมดไปจากสมอง เพราะว่า เรื่องมันอยู่ในสมองอยู่แล้วครับ

แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง จะไม่มีเรื่องใหม่เพิ่มขึ้นครับ

แล้วเราสามารถที่จะ generate ได้มากที่สุดประมาณ (M!)^N ครับ

ข้อสมมติฐานหลักคือ law of deminishing returns นั้น applies กับความคิดของคนครับ แล้วก็ applies linearly ด้วยคือ เป็นไปในทางเชิงเส้นเท่านั้นครับ

  • P
    ขอบคุณมากๆ เลยครับผม แบบว่าฟอร์มสูตรทางคณิตศาสตร์กันมาให้เลยครับ โดนใจสุดๆ คับผม ยอดครับผม เห็นด้วยอย่างยิ่งครับผม
  • P
    ขอบคุณพี่บ่าวครับ ต้องจัดการครับเวลา เรามีเท่าๆ กันทุกคนในหนึ่งวันครับ (เมื่อคืน เอเมื่อเช้าซิครับ ได้งีบสองชั่วโมงแต่เต็มอิ่มเลยครับ นอนน้อยผมได้กำไรครับ แต่ร่างกายต้องอิ่มครับ)
  • เขียนไว้ต่ออีกนะครับ เรามาเพาะเมล็ด ต่อยอด เสียบยอด ปักกิ่ง ติดตา ปักชำ เพาะชำ ทางความคิดกันเถิด ไม่ว่าจะเป็นการขยายพันธุ์ทางความคิดแบบอาศัยเพศหรือว่าไม่อาศัยเพศครับ
  • คุณ
    P
    ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณหมายถึงครับผม ซึ่งความคิดใหม่ที่เกิดจากการเรียนรู้ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นอีกครับ ประกอบกับการคิดในอนาคตด้วยครับ
  • ถกกันเต็มที่เลยครับผม

กราบนมัสการหลวงพี่

P
ครับผม
  • ข้อเสียของผมครับ คือเขียนไรสั้นๆ ไม่ค่อยได้ เขียนแล้วยาวเรื่อยเลยครับ อิๆ
  • สงสัยหลวงพี่ต้องเพิ่มเป็นวันละสิบคำครับ พวกเราจะได้เกิดประเด็นกันอีกวันละ 2^5 ความคิดครับ แตกบทความได้อีกเพียบครับ
  • รสกลมกล่อมของ GotoKnow คือการผสมผสานนี้หล่ะครับ ยอดจริงๆครับ
  • ผมจะเอาสิ่งที่ผมวิจัยมาให้วิพากษ์วิจารย์ กันอีกครับ นำไปสู่การใช้จริงคือเป้าหมายครับ

P
กราบของพระคุณ คุณครูเสือครับ
  • จริงครับผม เมื่อก่อนเคยคิดครับ ว่าจะทำงานวิจัยจะส่งไปที่ไหนดี
  • มาตอนนี้ งานประชุมมีเป็นแสนๆ ทำงานไม่ทันครับ เพราะแต่ละชิ้นหากนำไปใช้ได้จริงคงมีประโยชน์ไม่น้อยครับผม
  • แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นก็คงต้องร่วมกันจุดประเด็นกันเยอะเลยครับ
  • เผลอๆ ต่อไป ต้อง acknowledgement ชุมชนต้นน้ำแห่งความคิดของพวกเราทุกคนที่นี่ครับผม
  • ขอบพระคุณมากๆ นะครับผม
  • ดีใจที่มีวันนี้ สุขใดจะมีเทียบเท่า ภูมิใจกับความคิดของทุกคนครับ
  • มีอะไรให้ผมช่วยบอกได้ครับ ยินดีครับผมหากผมช่วยได้

สวัสดีอาจารย์สมพรอีกครั้งครับ

Eistien  เคยพูดไว้ว่า "As far as the laws of mathematics refer to reality, they are not certain; and as far as they are certain, they do not refer to reality." ด้งนั้นถ้าไม่ตั้งสมมติฐานเรื่อง diminishing returns ความรู้ก็อาจจะต่อยอดไปได้เรื่อยๆครับ

แต่บางทีก็อาจจะมีความรู้บางอย่างนั้นมีอยู่แล้วครับไม่ได้เป็น concept ใหม่ แต่กลับมีคำศัพท์ (jargon) ออกมาที่ทำให้ concept เป็น concept ที่ใหม่ ยกตัวอย่างนะครับ เรื่องเทคนิคการผลิตที่เรียกว่า Just in Time

concept ของ Just in Time นี่มาจาก supermarket ครับ คือถ้าสินค้าที่วางขายหมด หรือใกล้หมด ก็จะมีคนเอามาเติม คนญี่ปุ่นไอเดียดีมาเห็น ก็เลยคิดระบบการผลิตแบบ Just in Time ขึ้นมาครับ

ผมเคยไปนั่งฟังสัมนาจากอาจารย์ท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่อง algebra ครับ ผมจำไม่ได้ว่าท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร แต่ท่านบอกว่า ท่านจะไม่แปลกใจเลยถ้าเรื่องที่ท่านทำอยู่นี้ จะมีคนไปหาเจอ แล้วบอกว่ามันมีคนมาทำเป็นร้อยปีมาแล้ว ท่านบอกว่า concept ไม่มีอะไรใหม่ เพียงแต่ว่าตอนนี้นั้น ท่านบอกว่า ยังไม่เคยเห็นว่ามีใครทำ แล้วเท่าที่ศึกษามาจาก set ที่จำกัด ก็ยังไม่เจอคนทำ

ดังนั้นคำตอบว่าข้อสมมติฐานของ law of deminishing returns คงกลับมาที่ว่าเรา define คำว่าองค์ความรู้ใหม่ไว้ว่าอย่างไรครับ

 

เรื่องไม่หมดหรอกครับ

แต่เวลาหมดครับ ไม่ต้องทำอะไรอีกเลย

และวิถีชีวิตท่านจะเปลี่ยน

วิธีคิดก็จะค่อยเปลี่ยนครับ

ระบบสังคมก็จะค่อยๆเปลี่ยน

การทำงานจะค่อยๆเปลี่ยน

ต้องมีสติครับ

ไม่งั้นระบบชีวิตกระเทือนแน่นอน

ด้วยความหวังดีครับ

สวัสดีครับ คุณ chaipat
P
  • เห็นด้วยครับผมในเรื่องที่ไอสไตน์เขียนครับ เพราะ ที่เราว่า 0.01x100 = 1 มันไม่ได้เป็นจริงในคอมพิวเตอร์ครับ เพราะของจริงใน reality ไม่ได้คงที่คงตัวครับ ค่าคงที่ก็ไม่คงที่ครับแต่มันจะอยู่ในและแวกนั้นหล่ะครับ
  • แนวคิดที่คุณนำเสนอมา น่าสนใจมากๆ เลยครับ ผมคงต้องหามาศึกษาบ้างแล้วครับ law of deminishing returns 
  • ขอบคุณมากๆ เลยครับ

 

P

ใช่ครับ ดร.แสวง

  • ผมทดลองทำวิจัยแบบว่าเข้าต่อเนื่องกับ GotoKnow ดูมาประมาณสิบวันครับ ได้อะไรหลายอย่างครับ ในทางหนึ่งก็จะมีส่วนที่ขาดไปครับ ต้องสร้างสมดุลตรงนี้ให้เกิดครับ
  • อยากให้ ดร.แสวงแลกเปลี่ยนบ้างครับ ว่าจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรคับ เพราะว่ากิจกรรมที่ ท่าน ดร.ทำก็เยอะมากครับ จากที่ติดตามมาครับ
  • ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับข้อคิดดีๆครับ
  •  เข้ามายกมือเชียร์
  • ยิ่งเขียนยิ่งมีความรู้เพิ่มเติมจากคนที่เข้ามาสานต่อค่ะ ความรู้ไม่หดหาย
  • มีกัลยาณมิตรเพิ่มขึ้น
  • มีความรัก ความอบอุ่นจากเพื่อน G2K
หนูเข้ามาเป็นกำลังใจให้อาจารย์และยินดีที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์นะคะ....ความรู้ไม่มีวันหมด  จริง ๆ คะ

สวัสดีครับพี่อัมพรที่เคารพ

  • ขอบคุณมากครับ
  • เห็นด้วยกับทุกข้อครับ
  • ดีใจที่มีวันนี้ ดีใจที่มีตรงนี้ครับ

สวัสดีครับคุณน้องนิว

  • ขอบคุณมากเลยครับ
  • ยิ่งเรียนยิ่งงอกนะครับ
  • ยิ่งให้ยิ่งเพิ่มและแม่นครับ
  • ขอให้มีความสุขใจการเรียนและทำงานครับ
  • พี่ตามหาบันทึกที่ถูก tag ไม่เจอ เพราะน้องสมพรมีหลายบันทึกในแต่ละวัน ได้ตอบแล้วค่ะ เชิญอ่านที่นี่ค่ะ

ตอนนี้เรามีข้อมูลเยอะขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นการจัดการจึงต้องเข้ามามีบทบาท ก่อนที่เราจะจมทะเลแห่งข้อมูลไปเสียก่อน

ฝากพี่เม้งเป็นหัวห(ง)อกละกันครับ ส่วนผมจะเป็นเชียร์หรีิดเดอร์ให้ครับ

สู้ๆๆๆๆ 

  • ยิ่งเขียนยิ่งงอก  ยิ่งเงยค่ะ
  • สังเกตว่าช่วงไหนที่เราเขียนบ่อยๆ สมองจะแล่นมาก   แต่พอช่วงไหนที่เว้นไปนาน  มันคิดไม่ค่อยออก
  • สิ่งที่ได้  ขั้นต่ำสุดคือ  ได้ฝึกคิดว่าจะเขียนยังไง  ใช้คำไหน
  • ส่วนขั้นสูงได้อะไร....สงสัยว่าอาจจะได้เงิน (ค่าต้นฉบับ   มั๊ง...^___^)

สวัสดีครับ คุณนิดหน่อย

  • เห็นด้วยครับผม ได้ฝึกทุกอย่างครับ ได้ลับสมองครับ
  • วันหนึ่งคงเกิดประโยชน์ หรือแรงจูงใจต่อคนอื่นบ้างด้วยครับ
  • ขอบคุณคับ

สวัสดีครับ น้อง

P
อิๆ เริ่มมีหงอกขึ้นแล้วครับ หลายเส้นเลยครับ
  • ขอบคุณคับผม หากทำได้ก็จะยินดีทำเต็มที่ครับ ขั้นแรกต้องหาข้อมูลใส่สมองแล้วลองปฏิบัติดูก่อนครับ ให้ชำนาญก่อนแล้วจะได้ทำให้เกิดคุณภาพมากขึ้นครับ
  • ต้องร่วมมือกันศึกษานะครับ

การเขียนเยอะ ๆ ช่วยพัฒนาสมอง...

ยิ่งเขียนเยอะความคิดยิ่งต่อยอดครับ...

ที่สำคัญพัฒนาทักษะการเขียนและการคิดที่เป็นระบบด้วยครับ...

เห็นด้วยครับ คุณดิเรก แต่ของผมเขียนประมาณว่า นึกได้นึกเขียนครับ อิๆๆ ยังไม่ได้จัดระบบไรเลยครับ ต้องพัฒนาอีกเพียบเลยครับ ประมาณ นั่งพิมพ์ ก็รั่วออกมาจากสมอง ไหลผ่านไปทางมือ บางทีพิมพ์แล้วมาอ่านใหม่ ตลกมากเลยครับ พิมพ์ช้ากว่าคิดไงครับ เพราะว่าคิดไปไกลแล้วพิมพ์ไม่ทัน เลยตกๆ หล่นๆ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท