ผมรู้จักอาจารย์เปรม บุญเรือง ครั้งแรกราวๆในปี 2537-38 ตอนนั้นผมทำงานในโครงการพัฒนาชนบทผสมผสานจักราช นครราชสีมา อาจารย์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมประเมินโครงการ อีกทั้งมาเป็นโค๊ชในด้านเศรษฐศาสตร์ ให้แก่ทีมงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในโครงการ เพราะว่าตอนนั้น เจ้าหน้าที่ของเราทั้งหมดส่วนใหญ่มีพื้นฐานการศึกษาทางด้านเกษตร ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคมศาสตร์ กันเป็นส่วนใหญ่ แต่พอเราทำงานในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการสร้างรายได้ของกลุ่มเป้าหมายในชุมชน ทำให้เราเห็นข้อด้อยของทีมงานก็คือ การมองในมิติ "เศรษฐศาสตร์" ในตอนนั้นได้อาจารย์เข้ามาช่วย ลงพื้นที่ด้วยกันและเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน ประชุมพูดคุยกันไปหลายครั้ง เป็นจุดที่ทำให้เกิดการพัฒนางานในหลายๆด้าน
อาจารย์เปรม บุญเรือง เคยเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยมาก่อน แต่ตอนหลังลาออกมาทำงานเป็นผู้ประสานงานให้แก่องค์การต่างประเทศแบบเต็มตัว จุดเด่นของอาจารย์ที่ผมได้เรียนรู้ และเห็นว่ามีน้อยคนนักที่พัฒนาเรื่องพวกนี้ได้ นั่นก็คือ เครือข่ายทางสังคม ทั้งในและต่างประเทศ อาจารย์เปรมทำงานประสานงานเพียงคนเดียว โดยมีเลขานุการ อีก 1 คนที่คอยช่วยเหลือ แต่สามารถทำงานได้รอบตัว วิ่งรอกทั่วประเทศและต่างประเทศ และที่เด่นมากๆ คือ ทักษะในการเจรจาต่อรอง ยากที่จะลอกเลียนแบบได้จริงๆครับ
หน่วยงานต่างประเทศที่อาจารย์เป็นผู้ประสานงานนั้น เป็นมูลนิธิสังกัดพรรคการเมืองในต่างประเทศ ดังนั้น ดูเสมือนว่าภารกิจที่ทำก็น่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับด้านการเมือง แต่ปรากฏว่าคนละเรื่องครับ งานที่ทำ 80% เป็นงานที่เปลี่ยนมาเป็นการสนับสนุนโครงการในภาคชุมชน ภาคสหกรณ์ ผมเคยคุยถามเรื่องนี้กับอาจารย์ว่า ทำไมอาจารย์ถึงเอาเงินฝรั่งมาทำเรื่องนี้ได้ ทั้งๆที่เป็นมูลนิธิทางด้านการเมือง อาจารย์เล่าให้ฟังว่า ตอนทำงานกับมูลนิธินี้ใหม่ๆ อาจารย์ก็จับประเด็นเรื่องการเมือง เช่น จัดเวทีให้นักการเมืองมาเสวนากันว่า ทำอย่างไร จึงจะลดการซื้อเสียงได้ แต่ผลที่ออกมากลับเป็นคนละด้าน ยิ่งทำ ก็ยิ่งเกิดมีประเด็นการซื้อเสียงแรงขึ้น อาจารย์จึงได้คุยกับมูลนิธิว่า การทำงานกับการเมืองโดยตรงนั้น อาจจะไม่เหมาะสำหรับบริบทในสังคมไทย และอีกอย่างระบบการเมืองไทยมีทุนสนับสนุนมากพอแล้ว จึงเจรจากับมูลนิธิว่าให้เปลี่ยนแนวการทำงาน หันมาช่วยเหลือกลุ่มคนเล็กคนน้อย ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศจะดีกว่า อาจารย์เล่าว่าให้เหตุผลกับฝรั่งว่า หากชาวบ้านเขาพึ่งตัวเองได้มากกว่าที่เป็นอยู่ การซื้อเสียงก็จะลดไปเอง จึงขอให้มูลนิธิหันมาสนับสนุนให้ชาวบ้านพึ่งตนเองจะดีกว่า มูลนิธิก็เลยเห็นด้วย
ธวัช หมัดเต๊ะ
ผมอีกคนครับที่เคยร่วมงานกับอาจารย์เปรม บุญเรือง และเคยร่วมงานกับคุณธวัช หมัดเต๊ะ ผมยังคงคิดถึงทุกคนอยู่ครับ
แต่ผมได้ลาออกจากงานประจำแล้ว และยังคงเป็นพี่เลี้ยงให้กลุ่มทางสังคมและกลุ่มทางเศรษฐกิจ ของภาคสหกรณ์ สหกรณ์หลายสหกรณ์ก็ยังคงกล่าวถึงความดีของ อ.เปรมอยู่ครับ เพราะเขามักจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการขับเคลื่อนกิจกรรมของสหกรณ์อยู่เสมอ ๆ
ขอบพระคุณอาจารย์มากที่เมตตาผมกันพี่น้องชาวสกลนคร และจัด
สรรงบประมาณมาให้
ผมได้มีโอกาสช่วยประสานงานกับอาจารย์ ท่านเป็นคนน่ารักเท่าที่ได้พูดคุยท่านอยากพัก อยากให้อาจารย์กลับมาทำงานอีก ผมว่าประเทศเรายังรอคนอย่างอาจารย์อยู่ครับ ท่านสุดยอดมาก