รัฐเตรียมจัดโซนนิ่ง "เซ็กซ์" สั่งล้างบาง 40 เว็บอันตราย"
เปิดแบล็กลิสต์ 40 เว็บอันตราย ส่งผลต่อพฤติกรรม และความรุนแรง ด้านจิตใจผู้เสพ ทั้งยั่วยุกามารมณ์ สอนวิธีฉ้อโกง เสนอขายบริการทาง เพศ เพศวิปริต ขายยาปลุกเซ็กซ์ การพนัน วิธีแฮ็ก ฯลฯ ก่อ คดีและปัญหาสังคมทั้งสิ้น สั่งปิดแล้วกว่า 3,000 เว็บ ขณะนี้กระทรวง วัฒนธรรมเดินหน้าลุยประสานทุกกระทรวงฯเต็มที่ เสนอจัดโซน วีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผย "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ว่า ขณะนี้มีประมาณ 40 เว็บไซต์ที่อยู่ในบัญชี โดยกระทรวงฯได้ร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงไอซีที กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ เพื่อจับตา และขึ้น แบล็กลิสต์ว่า เป็นเว็บไซต์ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ พร้อมๆกับการสั่งปิดเว็บไซต์ดังกล่าว "สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เป็นเว็บไซด์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรม และทัศนคติ รวมถึงความเห็นแก่ตัว ซึ่งมีการจัดไว้เป็น 10 กลุ่มอันตราย ได้แก่ เรื่องลามกความรุนแรง ยาเสพติด การพนัน การฉ้อโกง หยาบคาย เกมรุนแรงฯลฯ" "จะเรียกว่าเป็นเว็บไซด์โรคจิตก็ไม่ผิด เพราะหากปล่อยให้หลุดรอด ออกมาแล้ว เป็นเสมือนคู่มือในการทำชั่ว จะยิ่งเพิ่มปัญหาในสังคมไม่รู้จบ พูดได้เลยว่าเว็บไซด์พวกนี้ไม่มีวันตาย แต่การแก้ปัญหานั้นเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน มากกว่าที่เป็นอยู่" ผู้ช่วย รมต. กล่าว ความพยายามแก้ไขปัญหาตรงนี้ นอกจากจะประสานกับทุกหน่วยงานในการดำเนินการแล้ว ส่วนของสถานศึกษาก็พยายามสร้างให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และตระหนัก โดยขณะนี้ ทางกระทรวงฯ ได้ประสานและเข้าไปให้ความรู้กับโรงเรียนระดับประถมและมัธยมตามหลักการสอนวิถีพุทธ ใน 12,000 โรงทั่วประเทศ ซึ่งค่อนข้างได้ผล เป็นการสร้างคน โดยนำหลักของธรรมะเข้ามาสอน และอนาคตอันใกล้ทางกระทรวงศึกษาธิการก็เตรียมที่จะจัดโครงการโรงเรียนอินเตอร์เน็ตสีขาวขึ้น เพื่อรณรงค์โรงเรียนทุกแห่งเฝ้าระวังอันตรายที่แฝงมาจากอินเตอร์ด้วย ส่วนการจัดการกับเว็บไซด์โป๊ เปลือย อนาจาร ที่กำลังระบาดกว่า 1,000 ล้านเว็บขณะนี้ มีการจัดทำซอร์ฟแวร์ "เว็บการ์ด"(ซีดีรอม) ทำหน้าที่ในการดักจับ และบล็อคเว็บโป๊ต่างๆ ได้กว่า 1,000 ล้านเว็บเพจ ซึ่งสามารถที่จะหาซื้อและติดตั้งได้ทันทีภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ราคาชุด 365 บาท/ปี หรือวันละบาท ในด้านการปราบปราม กระทรวงฯร่วมกับตำรวจจจับกุมเว็บโป๊แล้วประมาณ 3,000 เว็บ แต่มีการเปลี่ยนชื่อและพัฒนาหนีไปเรื่อยๆ ทำให้ยาก นอกจากนี้ กระทรวงฯได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดพื้นที่เฉพาะสำหรับเข้าไปจัดการกับปัญหาลามกอนาจารต่างๆ ที่มีอยู่ภายในประเทศ เช่น หนังสือ แหล่งวีดีโอ อุปกรณ์ลามกให้เป็นแหล่งศูนย์รวมเฉพาะขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าไปจัดการควบคุมดูแลได้มากยิ่งขึ้น "ไม่ใช่เป็นการส่งเสริมแต่ต้องการที่จะจัดพื้นที่เฉพาะขึ้น เพื่อควบคุมและดูแลแก่บรรดาเด็ก เยาวชน หรือกลุ่มคน ให้ง่ายต่อการตรวจสอบและติดตาม เหมือนเป็นการนำของใต้ดินขึ้นมาบนดิน ในรูปแบบต่างๆเช่น กำหนดโซนนิ่ง เรตติ้ง เพลสติ้ง หรือไทม์มิ่ง ตามความเหมาะสม"ผู้ช่วยรมต.กระทรวงวัฒนธรรม อธิบายสำหรับพื้นที่นี้จะจัดไว้เป็นสำหรับกลุ่มคนเฉพาะ ซึ่งจะไม่กระจัดกระจาย หรือแพร่หลายทั่วไปอย่างเช่นในปัจจุบัน ที่มีอยู่ทุกซอกทุกมุม เพื่อให้ "การบังคับใช้กฎหมายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะกฎหมายเหล่านั้นอยู่ภายใต้สังกัดหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กฎหมายการพิมพ์ กฎหมายภาพยนตร์ กฎหมายวัสดุโทรทัศน์ ฯลฯ เป็นการรวบรวมและแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ เพื่อระดมเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาให้เกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง" ผู้ช่วยรมต. กล่าว "การนำกฎหมายศุลกากร เพื่อตรวจดูภาษีย้อนหลังเข้ามาดำเนินการกับกลุ่มผู้ค้า เพราะแหล่งที่ผลิตรายใหญ่ขณะนี้ได้ย้ายฐานไปอยู่บริเวณตอนใต้ของประเทศจีน และประเทศกัมพูชา ก่อนที่จะขนสินค้า (วีซีดี) กว่าแสนแผ่นลักลอบเข้ามาตามด่านข้ามแดนต่างๆ ทั้งนี้ จะมีการลงนามกับอัยการสูงสุดในเร็วๆนี้ หรือการเสนอจัดตั้งกองทุนเพื่อการชำระล้าง (Socail clean up) ร่วมกับผู้แทนกระทรวงการคลัง นำทรัพย์สินในส่วนที่ริบมาได้เข้าสู่กองทุนนี้ เพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อสังคมต่อไป" ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ |
ดาบสองคมของการไล่ปิดเว็บก็คือ ประชาชนตาดำตรวจสอบได้ยากเหลือเกินว่าปิดอะไรไปบ้าง
เบื่อๆอารมณ์แบบเชื่อผู้นำชาติเจริญ :-P
เห็นด้วยครับคุณ
ผมไม่เห็นว่าจะมีนวัตกรรมอะไรเลย
มันเป็นการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ของคนกลุ่มเดิมๆ ที่ผมว่าหัวล้าสมัยจริงๆ
การแก้ปัญหาที่มักจะคิดว่า ประชาชนของเขาไม่ฉลาด ปิดหูปิดตาได้
คนที่ปิดหรือสั่งปิด กลายเป็นคนที่ได้ดูก่อน (ฮา)
ท้อใจครับ
ถ้ามีการกระทำผิดกฏหมาย รัฐจะทำน้อยกว่าการปฏิบัติไปตามกฏหมายได้อย่างไรครับ -- ถ้าผิดก็จับไปเลยซิครับ
ปิดกั้นแล้วคนไทยดูไม่ได้ (ผมไม่ได้อิจฉาแล้วก็ไม่เคยเจอดวงตาของเซารอนด้วย) แต่ตำรวจก็ไม่เห็น จับก็ไม่ได้ ส่วนคนนอกประเทศดูได้ แล้วจะให้ภาพลักษณ์ของเมืองไทยดีได้อย่างไร
ไม่ใช่เพราะอย่างนี้หรือ ที่ทำให้เมืองไทยเป็นอันดับห้าของโลกเรื่อง child pornography