เวลาประมาณบ่าย 3 โมงของวันที่ 3 มีนาคม 2550 รถบัสของมหาวิทยาลัยขนาด 45 ที่นั่งจำนวน 2 คันเคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัย มุ่งหน้าไปยังอำเภอนาดูน โดยมีจุดหมายปลายทางที่การเข้าร่วมพิธีเวียนเทียนเนื่องในวันมาฆบูชา ณ พระธาตุนาดูน (พุทธมณฑลอีสาน)
เป็นที่น่าภูมิใจที่นิสิตจำนวนกว่า 70 คนเข้าร่วมการเวียนเทียนอย่างพร้อมพรั่ง ไม่จำเป็นต้องกะเกณฑ์อันใดให้มากความ บางคนหรือแม้แต่หลายคนก็มาด้วยความสมัครใจ
อันที่จริงวันหยุดติดต่อกันหลายวันเช่นนี้นิสิตคงเดินทางกลับบ้านกันมิใช่น้อย แต่เนื่องเพราะเป็นช่วงสอบปลายภาค หลายคนจึงกัดฟันตัดโปรแกรมกลับบ้านทิ้งไป และหันมากักตนเองอยู่กับการท่องหนังสือที่หอพักแทน
สำหรับนิสิตแล้ว การไปเวียนเทียนครั้งนี้แต่ละคนก็ไปด้วยมุ่งมาดวาดหวังที่เหมือนและต่างกัน บางคนอาจยึดถือว่าการไปเวียนเทียนสักการะองค์พระธาตุนาดูนก็เป็นประหนึ่งการไป “ทำบุญ, ชำระจิตใจ, ทำสมาธิ” ฯลฯ หรือแม้แต่ไปอธิษฐานให้มีพลังกายพลังสมองในการสอบอย่างเต็มล้นก็เป็นได้ !
แต่สำหรับมหาวิทยาลัยฯ กิจกรรมเช่นนี้ถือเป็นพันธกิจที่มหาวิทยาลัยยึดปฏิบัติมาทุกปี ทั้งตามนโยบายสถาบันศึกษากับชุมชน รวมถึงการปลูกฝังให้นิสิตได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อการซึมซับพระพุทธศาสนา
ทันทีที่รถบัสเคลื่อนพ้นเขตมหาวิทยาลัย ผมไม่รอช้าที่จะคว้าไมโครโฟนมาบอกกล่าวเล่าแจ้งสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ โดยเฉพาะการนัดหมายซักซ้อมการเข้าร่วมพิธี รวมถึงการประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่าง ๆ ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่ช้า จากนั้นก็ปล่อยให้ทุกคนพักผ่อน – (นอนฝัน) ตามอัธยาศัย
การเวียนเทียนในปีนี้คึกคักเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงเดียวกับที่ทางจังหวัดกำหนดให้มีการจัดงานนมัสการพระธาตุนาดูน ขึ้นในระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 2550 ประกอบด้วยกิจกรรมหลายหลาย อาทิ ทำบุญตักบาตร บูชาวัตถุมงคล ขบวนแห่ประเพณี 12 เดือน การออกร้านของชุมชนส่วนราชการและ OTOP การแสดงภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปลักษณ์ต่าง ๆ รวมถึงมหรสพสมโภชทั้งกลางวันและกลางคืน รวมเวลาเฉลิมฉลองกัน 9 วัน 9 คืนเต็ม ๆ ด้วยเหตุนี้การเวียนเทียนในวันนี้จึงคึกคัก อัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศ ตลอดเส้นทางจากตัวเมืองมุ่งมายังพระธาตุนาดูนคับคั่งไปด้วยรถยนต์เล็กใหญ่นานายี่ห้อ ขณะที่บางคนถึงขั้นมารอตั้งแต่เช้ามืดเลยก็มี ...
เท่าที่ผมศึกษาร่วมกับนิสิตเมื่อครั้งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาภาคสนามโครงการเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างชุมชนเมื่อหลายปีที่แล้ว พอสรุปสังเขปได้ว่า, พระธาตุนาดูน เป็นโบราณวัตถุที่มีอายุมากว่า 1,300 ปี ขุดพบบนที่นาของนายทองดี ปะวะภูตา โดยการขุดพบในระยะแรก ๆ เป็นการขุดพบเฉพาะคน เฉพาะกลุ่ม ต่อเมื่อหน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น ได้ลงมาดูแลพร้อมทั้งติดตามวัตถุต่าง ๆ ที่ขุดพบมารวมกันและทำการศึกษา จึงทราบว่าเป็นสถูปโบราณ
และเมื่อมีการพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วได้มีการลงความเห็นว่าเป็นสถูปที่ใช้บรรจุพระสารีริกธาตุ ซึ่งลักษณะของสถูปทำด้วยทองสำริด มีส่วนประกอบ 2 ส่วนคือ (1) ส่วนยอด มีลักษณะ เป็นปล้องไฉน จำนวน 2 ปล้อง ส่วนบนสุดเป็นปลียอดกลม (2) ตัวสถูปทำด้วยทองสำริด มีลักษณะคล้ายระฆัง หรือโอคว่ำ ส่วนยอดของตัวสถูป จะรับเข้ากับส่วนล่างสุดของส่วนยอดพอดี
การไปเวียนเทียนครั้งนี้ ผมเห็นภาพชีวิตแห่งความประทับใจอันหลากหลายของผู้คนที่มาเยือนที่นี่ ผู้หลักผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่มคนสาว เด็กนักเรียน หรือแม้แต่เด็กตัวเล็กที่มาพร้อมกับผู้ปกครองก็ดูจะเบิกบานอิ่มสุขกันถ้วนหน้า โดยภาพชีวิตเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็น “ความศรัทธาเลื่อมใส” ของคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งและดื่มด่ำเป็นที่สุด
ระหว่างเดินทางกลับผมได้พูดจาพาทีกับนิสิตหญิงท่านหนึ่ง เราคุยกันในประเด็นความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับการเวียนเทียนเนื่องในวันสำคัญของพระพุทธศาสนา และเราต่างมีความทรงจำที่เหมือนกัน คือ “คิดถึงค่ำคืนการเวียนเทียนที่วัดประจำหมู่บ้านที่ห้อมล้อมด้วยผู้คนหลากวัย”
แต่ถึงวันนี้กลับกลายเป็นว่าการเวียนเทียนในหมู่บ้านไม่ใคร่พบคนหลากวัยมาร่วมเวียนเทียนกันเท่าที่ควร โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่ร้างหมู่บ้านไปทำงานในตัวเมือง การเวียนเทียนในค่ำคืนต่าง ๆ จึงมักพบแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่และเด็กนักเรียนและเด็กตัวน้อยกันแทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้เธอยังเล่าให้ฟังว่าการเวียนเทียนเป็นเสมือนวันนัดหมายที่เธอจะได้ใกล้ชิดกับคนรักของเธอ.. ได้เดินเวียนเทียนเคียงข้างกายกันและกันรอบศาลาวัด ได้อธิษฐานถึงความรักที่มั่นคงและยั่งยืน ...
ผมรุกถามเธอต่อไปว่า “ทุกวันนี้ยังรักกันอยู่หรือเปล่า ?”
“เลิกร้างกันนานแล้ว” เธอตอบโดยปราศจากน้ำเสียงความเศร้าโศกใด ๆ ...
เธอเล่าให้ฟังอีกยืดยาว, ผมจำได้แต่เพียงว่าเธอและคนรักเลิกรากันเมื่อตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ เป็นการจากลาแบบเข้าใจ ทุกวันนี้ฝ่ายชายเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และเธอก็ไม่รู้หรอกว่า “คนรักเก่า” ของเธอนั้นกำลังคิดถึงค่ำคืนแห่งการเวียนเทียนในอดีตเหมือนที่เธอกำลังคิดถึงอยู่หรือไม่ ? หรือกำลังจะไปเวียนเทียนกับใคร ? ที่ไหน ? อย่างไรบ้าง ?
“มันก็เป็นแค่การคิดถึงอดีตอันดีงามเท่านั้น” เธอบอกกับผมเช่นนั้น เพราะวันนี้เธอเองก็มาเวียนเทียนกับนิสิตชายท่านหนึ่งที่กำลังคบหาดูใจกันเป็น “เพื่อนสนิท”
ผมโชคดีมากที่เธอไม่ได้ถามผมว่ามีอดีตอันงดงามในค่ำคืนการเวียนเทียนเช่นเธอหรือไม่...
แต่ท่านครับ....ถึงเธอไม่ถาม, แต่ในเบื้องลึกของผมก็หวนคำนึงถึงค่ำคืนเช่นนั้นอยู่ไม่น้อย แต่ก็เป็นแค่ห้วงคำนึงที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า “การคิดถึงอดีตอันดีงาม” ที่ผ่านล่วงมาก็เท่านั้นเอง !
คุณแผ่นดินครับ
ผมอ่านบันทึกแล้วก็อินไปด้วย และคิดถึงอดีตเช่นกัน แต่เป็นอดีตแสบๆมากกว่า จนทุกวันนี้ยังนึกอยู่ว่าบาปกรรมจะตามมาเมื่อไร เพราะตอนเด็กๆ ประมาณ ม.1 คึกอะไรไม่รู้ กับเพื่อนๆ ขับมอร์เตอร์ไซด์ เวียนเทียนกัน เด็กอะไร "พ่อแม่สั่งสอนแต่ไม่รู้จักจำ" ทำไปเพราะคึกคะนองหน่ะครับ บทเรียนครั้งนั้นยังเอามาคุยขำขำกับวงเพื่อนๆได้อีกนานเท่านาน
ปีนี้ไม่ได้ไปเวียนเทียนเลย เพราะไม่สะดวกในการเดินทาง แต่ว่าวันนี้ใส่บาตร ทำบุญเรียบร้อยนะครับ เป็นสุขทางใจ สบายใจ ทำอะไรก็แสดงออกมาด้วยความสุข น่าจะทำเป็นวิถีต่อไปครับผม
สวัสดีครับ...คุณนู่ทิม
สวัสดีครับ คุณย่ามแดง
สวัสดีครับ คุณพิชชา
ตกใจแทบแย่..นึกว่าที่ไม่เข้าวัดเพราะมีอาการร้อน ๆ ไปทั้งตัว นะน้องนุ้ย
... วันนี้อันที่จริงน้องที่ร้อยเอ็ดโทรมาตอนบ่าย 3 ชวนไปกินข้าวปุ้นที่ร้อยเอ็ด..แต่ผมก็ไม่สามารถร่วมเดินทางไปด้วย
จะยังไงก็แล้วแต่ในทุกปีทุกเทศกาลที่จัดขึ้น ณ พระธาตุนาดูน มมส จะต้องพานิสิตเข้าไปร่วมงานเสมอ และตอนนี้ก็พยายามคิดรูปแบบที่จะพานิสิตใหม่ร่วมหมื่นคนไปกราบสักการะสักครั้ง และอยากให้ยึดเป็นประเพณีนิยมของนิสิต มมส เลยก็ว่าได้ เนื่องจากตราสัญลักษณ์ของสถาบันก็มีองค์พระธาตุนาดูนเป็นส่วนหนึ่งของตราสัญลักษณ์
สวัสดีครับ คุณสมทรง ทองมวล
... ยินดีนะครับ , ถ้ามีโอกาสผ่านมามหาสารคาม ยินดีพาไปไหว้พระธาตุด้วยตนเอง
ยินดีเสมอครับ..
สวัสดีตอนเช้า ครับคุณโก๊ะ
กว่าจะได้แวะดูบันทึกเพิ่มเติมก็ล่วงถึงเช้า...แต่ยังไงก็ขอบคุณมากครับที่ติดตามเป็นเสมือนแฟนคลับของผมอย่างต่อเนื่อง
อันที่จริง, ผมว่าคุณโก๊ะก็มีต้นทุนวัตถุดิบชีวิตอยู่มาก เท่าที่สังเกตจากบันทึกก็สื่อสารได้ชัดเจน ก็น่าจะเขียนบันทึกได้ดี หรือไม่ก็ถือซะว่าการเขียนบันทึกก็คือกระบวนการฝึกทักษะการสื่อสารด้วย "การขียน" ได้เหมือนกัน
พระธาตุนาดูนเป็นที่สักการะของชาวอีสาน ถึงแม้จะไม่ถึงกับเลื่องชื่อเหมือนพระธาตุพนม แต่ก็มีตำนานความเป็นมาที่เก่าแก่ยาวนาน และปรากฏารณ์อภินิหาริย์อยู่แทบทุกปี
เช่นกันครับ... ยินดีนำเที่ยวชมนะครับถ้าแวะมามหาสารคาม
ขอบคุณครับ..สำหรับคำชื่นชมถึงคุณแดนไทแลคุณแผ่นดิน (ตัวจริง) ..ส่วนลำนำที่แต่งนั้น แต่งให้ด้วยใจใคร ไม่เน้นฉันทลักษณ์ ไม่เน้นการสร้างคำ แต่ใช้คำง่าย ๆ พื้น ๆ เท่าที่จะทำได้
มีความสุขกับการไล่ล่าความฝัน นะครับ
นิสิตที่ไปก็มีทั้งสมัครใจและไปตามเงื่อนไขของมหาวิทยาลัย เช่น นิสิตทุน เป็นต้น แต่ยังก็ดีที่เขาไปร่วมกิจกรรม เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยเขาต้องได้เรียนรู้อะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัด, ศาสนา, พิธีกรรม, เพื่อน ๆ , วิถีความศรัทธาของผู้คน ฯลฯ
และขอบคุณครับ..คำชมที่มีต่อน้องแผ่นดินและน้องแดนไท...ตัวจริงซนและแสนรู้อย่างน่าหยิก...
ขอบคุณครับ
... ผมมีวิถีชีวิตเกี่ยวก้อยร้อยรัดอยู่กับขนบธรรมเนียมเหล่านี้ แต่เรื่องเวียนเทียนก็หายไปจากชีวิตในช่วงเรียนมัธยมปลาย ซึ่งเป็นช่วงที่มาเรียนในตัวเมือง
ในชีวิตเคยลอยกระทงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น.. ส่วนสงกรานต์ผมชอบเวลาที่ไปสรงน้ำพระพุทธรูปบนศาลาวัดมากเป็นที่สุด แต่กลับไม่ชอบการเล่นน้ำทั่ว ๆ ไป
ยินดีด้วยนะครับที่มีโอกาสได้กราบนมัสการพระธาตุนาดู และถ้าศึกษาประวัติแล้วก็ยิ่งน่าสนใจไม่แพ้ที่อื่น ๆ
ส่วนวิถีที่คนเข้าวัดนั้น ก็ไม่แปลกหรอกนะครับที่คนในวัยหนุ่มสาวจะดูห่างเหินไปจากวิถีนี้...แต่สำหรับผมรับรู้อยู่อย่างหนึ่งที่มักกล่าวซ้ำเสมอมาก็คือ "วัด เป็นโรงเรียนดั้งเดิมของคนไทย"
ขอบคุณครับ....