ชื่อโครงการ
การพัฒนาแนวปฏิบัติการสร้างเสริมพลังอำนาจมารดาที่มี ทารกคลอดก่อนกำหนด The Development of Clinical Nursing Practice Guideline of Empowerment Model for Mothers of Premature - Infants
คำสำคัญ1. แนวปฏิบัติการเสริมสร้างพลังอำนาจ( CNPG of Empowerment Model)2. ทารกคลอดก่อนกำหนด (Premature – Infant )
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
อุบัติการณ์ในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปีค.ศ. 2003 พบว่าทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 12.3 % ของการคลอดทั้งหมด (Margie ,2006) ปีค.ศ. 2001-2002 มีอัตราการตายจากสาเหตุการคลอดก่อนกำหนดที่มีอายุครรภ์ 35-36 สัปดาห์ คิดเป็น ร้อยละ 6.8 และร้อยละ 6.9 ตามลำดับต่อประชากรทารกแรกเกิด 1000 คน ในปี ค.ศ.2002 มีอัตราการตายของทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่มีอายุครรภ์ ระหว่าง 30-34 สัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 18.5 ต่อประชากรทารกแรกเกิด 1000 คน และทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 30 สัปดาห์ มีจำนวนทารกที่เสียชีวิต 285 ราย ต่อประชากรทารกแรกเกิด 1000 คน(Gabriel ,2006) และพบว่าทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีอายุครรภ์เฉลี่ยระหว่าง 33 – 36 สัปดาห์มีอัตราการกลับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระหว่างช่วงอายุแรกเกิดถึง1 ปี คิดเป็นร้อยละ 25 –50 ทำให้สูญเสียงบประมาณเพื่อการดูแลสุขภาพกับทารกกลุ่มนี้ คิดเป็นร้อยละ 35 ของงบประมาณเพื่อการดูแลสุขภาพทั้งหมด คิดเป็นจำนวนเงินได้เท่ากับ 4.5ล้านเหรียญสหรัฐ (Allen et al. ,2005) สำหรับในประเทศไทยจากการสำรวจของกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข ในปีพศ. 2544-2546 สถิติของทารกคลอดก่อนกำหนดมีรายงานเฉพาะตามน้ำหนักตัวทารกน้อยกว่า 2,500 กรัม พบว่า สถิติทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัมเพื่มขึ้นอย่างต่อเนื่องคิดเป็นร้อยละ 8. 53 8.88 และ 8.99 ตามลำดับ (กระทรวงสาธารณะสุข ,2546 ) สถิติทารกคลอดก่อนกำหนด ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เมื่อปี 2545 - 2547 คิดเป็น ร้อยละ 9.7 , 10 , 10.4 ตามลำดับ สถิติในปี พ.ศ. 2548 ทารกที่เข้ารับการรักษาใน NICU โดยเทียบอัตราส่วนระหว่างทารกคลอดก่อนกำหนดต่อทารกครบกำหนดพบว่า มีอัตราการคลอดก่อนกำหนดเท่ากับ 2:1ของทุกเดือน (เอกสารแผนกเวชทะเบียนรพ.จุฬาลงกรณ์,2548)ผลกระทบของการที่ทารกคลอดก่อนกำหนด ทำให้ทารกกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงต่อความเจ็บป่วย พิการ และการเสียชีวิตเนื่องจากระบบต่าง ๆ ในร่างกายของทารกพัฒนายังไม่สมบูรณ์ และการทำงานยังไม่มีประสิทธิภาพเพราะทารกต้องคลอดออกมาก่อน จึงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากและรุนแรง เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางด้านสุขภาพเช่น ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ภาวะโลหิตจาง การสูดสำลัก ปัญหาด้านการเจริญเติบโต และพัฒนาการล่าช้า ปัญหาทางด้านพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากทารกทั่วไป เช่น พฤติกรรมการนอนหลับที่มีแบบแผนการนอนหลับ และตื่นที่ไม่สม่ำเสมอ พฤติกรรมการร้องไห้ที่ไม่สามารถสื่อความหมาย หรือบ่งบอกถึงความต้องการได้ชัดเจน พฤติกรรมที่ตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นน้อยเป็นต้น จากเหตุผลดังกลาวทําใหทารกคลอดกอนกําหนดจําเปนตองเขารับการดูแลเปนพิเศษในหอผูปวยทารกแรกเกิดวิกฤติเป็นเวลานาน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน ตองพรากจากมารดาในวันแรกหลังคลอด ขาดโอกาสสําคัญในการสรางความผูกพันตอบุตร จากสภาพของร่างกายที่มีน้ำหนักน้อยและรูปร่างบอบบาง ขนาดเล็ก ประกอบกับความเจ็บป่วยที่ทารกได้รับ สภาพแวดล้อมในหน่วยทารกแรกเกิดวิกฤต ที่มีอุปกรณ์การแพทย์หลายชนิด เช่น การใส่ท่อทางเดินหายใจ การให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ เป็นต้น ย่อมส่งผลกระทบต่อภาวะจิตใจของมารดา ล้วนคุกคามความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ของมารดา เกี่ยวกับความปลอดภัยของบุตร กลัวบุตรเสียชีวิต มารดามีความรู้สึกตกใจ เกิดความเครียด เกิดความวิตกกังวลทารกที่เกิดมาไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ไม่สามารถให้การดูแลด้วยตนเองได้ เกิดความรู้สึกถึงความยากลำบากต่อการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด ไม่แน่ใจว่าตนสามารถเลี้ยงทารกได้ด้วยตนเองได้ (Allen et al.,2005) จากสภาพดังกล่าวส่งผลให้มารดาไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถดูแลบุตรได้ดีเหมือนที่มีทารกคลอดปกติทั่วไป ขาดการฝึกฝนทักษะการดูแลทารก ศักยภาพในตัวเองลดลง นำมาซึ่งพฤติกรรมการดูแลทารกที่ไม่เหมาะสมและไม่มีประสิทธิภาพ บางครั้งตามใจทารกมากเกินไปเช่น ทารกต้องการการนอนมากกว่าการตื่น เมื่อถึงมื้อนมทารกยังคงหลับอยู่ มารดาปล่อยให้ทารกนอนไปก่อนไม่ปลุกทารกมาป้อนนม เป็นต้น หรือไม่กล้าให้การดูแลด้วยตนเอง สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องพึ่งพาการดูแลจากบุคคลอื่นๆ (กุลลดา เปรมจิตร์,2547)จากการศึกษาปรากฏการณ์ของมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนดที่เข้ารับการรักษาในNICU รพ. จุฬาลงกรณ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ถึง มกราคม พ.ศ.2550 โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตพฤติกรรมการดูแลทารกของมารดา จำนวน 5 ราย และใช้แบบประเมินการรับรู้พลังอำนาจมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด จำนวน 20 ราย พบว่า มารดามีการรับรู้พลังอำนาจต่ำในเรื่อง ความเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง ศักยภาพในการดูแลตนเอง ขาดทักษะในการดูแล การแสวงหาความรู้ การสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงเพื่อวางแผนการดูแลบุตรได้ และต้องพึ่งพาทีมสุขภาพและบุคคลอื่นๆ เนื่องจากมารดารู้สึกสิ้นหวัง ตกใจ สงสารบุตร กลัวทารกไม่รอดชีวิต ไม่กล้าดูแลทารกด้วยตนเอง มารดารับรู้ว่าการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดมีความแตกต่างจากการคลอดครบกำหนด มีความยากลำบาก และต้องการการดูแลจากทีมสุขภาพเป็นพิเศษ ด้วยสาเหตุมาจากทารกมีขนาดรูปร่างเล็ก ผิวบางใสและเหี่ยวย่น การเจ็บป่วยที่บุตรได้รับ และสิ่งแวดล้อมในห้องNICU จึงทำให้มารดาขาดความเชื่อมั่นใจในความสามารถของตนเอง ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง กลัวทารกได้รับความเจ็บปวดขาดทักษะ ต้องพึ่งพาบุคคลอื่น ส่งผลให้การดูแลจากมารดาไม่มีประสิทธิภาพ จากการสังเกตพฤติกรรมการดูแลทารก เช่นการอุ้มป้อนนมทารกและการจับเรอ มารดาแผ่วเบา กลัวลูกเจ็บ สังเกตเห็นสีหน้า ท่าทางเคร่งเครียด กลัวบุตรพลัดตก เกิดอันตรายกับลูกได้ ซึ่งพบว่าทารกเรอไม่ออก พยาบาลจะต้องให้การช่วยเหลือหลังการปฏิบัติของมารดาบ่อยครั้ง ทารกบางรายมีการสำลักมารดามองหาพยาบาลหรือบางรายมารดาเดินมาตามพยาบาลทันที เพื่อไปช่วยดูทารกให้ก่อนที่มารดาจะจับเรอและการดูแลขั้นต้น ไม่สามารถให้การดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดได้ด้วยตนเอง ไม่มีศักยภาพที่จัดการกับปัญหาและขาดพลังในการใช้สิทธิการเสนอความต้องการให้กับทีมสุขภาพได้ พฤติกรรมที่มารดาได้แสดงออกมานั้นชี้ให้เห็นว่ามารดาสูญเสียพลังอำนาจในตนเอง ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดทักษะการดูแล นำมาซึ่งการดูแลทารกที่ไม่มีประสิทธิภาพ ต้องพึ่งพาบุคคลอื่นจากประสบการณของผู้ทำโครงการในการให้การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนดที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พบว่า ทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีอาการเปลี่ยนแปลง ต้องถูกแยกจากมารดาเข้ามารักษาในNICU มารดามีโอกาสเข้าเยี่ยมในเวลาจำกัด มารดารับรู้อาการการเจ็บป่วยที่บุตรได้รับ เกรงว่าบุตรจะไดรับอันตรายเพิ่มขึ้น กลัวสูญเสียบุตร มารดาจึงไม่กล้าจับต้องทารก มีความเข้าใจและรับรู้ว่าการจับต้องบุตรจะนำเอาเชื้อโรคไปสู่ทารกได้ มารดาส่วนใหญ่จะมองผ่านกระจกของตู้อบในการมาเยี่ยมบุตรในแต่ละครั้ง การดูแลสุขภาพทารกยังเป็นบทบาทของแพทย์ พยาบาล ส่วนใหญ่มารดาจะได้รับคำแนะนำและการให้ความรู้โดยวิธีการสอน สาธิต เช่นการให้นมบุตร การชำระเปลี่ยนผ้าอ้อมเป็นต้น โดยมีระระเวลาสั้นๆประมาณ 10-15 นาที ในบางโอกาสพยาบาลให้อุ้มบุตรมารดามีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่มั่นใจ กลัวลูกพลัดตกจากมือ มารดาไม่มั่นใจในการดูแลของตนเอง ปรากฏการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเป็นประจำ พฤติกรรมต่างๆที่มารดาแสดงออกมานั้น ทำให้เห็นว่ามารดาสูญเสียพลังอำนาจในตนเอง ทำให้ศักยภาพตนเองลดลง ไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตน ขาดทักษะการดูแลทารก ให้การดูแลทารกได้ไม่มีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่านโยบายการพัฒนาคุณภาพของทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่เน้นการดูแลผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และเป้าหมายของการดูแลทารกในNICU มิได้มุ่งเน้นการรอดชีวิตและป้องกันความพิการเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงครอบครัว การพยาบาลโดยยึดหลักการพยาบาลแบบองค์รวม ให้ครอบครัวมามีส่วนร่วม และรับรู้ปัญหาของทารก เน้นบทบาทการดูแลของมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด จากการพูดคุยซักถามพยาบาล บางส่วนตระหนักถึงปัญหาและเห็นความสำคัญของการส่งเสริมให้มารดามีการรับรู้พลังอำนาจในตนเอง เพื่อเกิดความเชื่อมั่นในความสามารถที่จะดูแลบุตรด้วยตนเองได้ แต่ยังไม่มีการเกิดการเปลี่ยนแปลงในการให้บริการ มารดาไม่มีส่วนร่วมในการดูแลบุตร ไม่มีแนวทางชัดเจนในการส่งเสริมบทบาทการเป็นมารดา และทำให้มารดารู้สึกว่ามารดาสามารถดูแลบุตรด้วยตนเองได้ แม้ว่าจะมีงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับมารดาและทารกก่อนกำหนด เช่นจุฑารัตน์ มีสุขโข(2540) ศึกษาความต้องการข้อมูลและช่วยเหลือสนับสนุนของมารดาทารกเกิดก่อนกำหนดหลังการจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล พรประภา โลจนะวาศกร(2541) ศึกษาการให้ข้อมูลมารดาก่อนการเข้าเยี่ยมทารกเกิดก่อนกำหนดต่อระดับความเครียดและสัมพันธภาพมารดากับทารก ชุลีพร ด่านยุทธศิลป์(2541 ) ศึกษาผลการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนต่อความวิตกกังวลและการปรับตัวในบทบาทเป็นมารดาทารกก่อนกำหนด นัยนา วงษ์นิยม(2544)ศึกษาผลของโปรแกรมการฝึกฝนของมารดาต่อความพร้อมของมารดาในการเลี้ยงดู การเจริญเติบโต ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมของทารกคลอดก่อนกำหนด สมทรง เค้าฝาย(2541)ศึกษาผลการเตรียมมารดาต่อการรับรู้ความสามารถของตนเองในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด และกิจกรณ คำชู. (2546) ศึกษาผลของการจําหนายอยางมีเเบบแผนตอความรู ความสามารถในการปฏิบัติการดูแลทารกคลอดของมารดาและภาวะสุขภาพของทารก งานวิจัยเหล่านี้ยังนำมาใช้น้อยในโรงพยาบาลและไม่สอดคล้องกับลักษณะของหน่วยงานที่พยาบาลสามารถนำไปใช้ตอบสนองปัญหาความต้องการของมารดาในการดูแลทารกได้ทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นการให้ข้อมูล การสนับสนุน การเตรียมความพร้อมเพื่อการดูแล เป็นรูปแบบการพยาบาลที่พยาบาลเป็นผู้ให้ทั้งหมด มารดายังไม่มีการประเมินปัญหา การตั้งเป้าหมาย การวางแผนให้การพยาบาลร่วมกับทีมสุขภาพ ใช้สิทธิการเป็นมารดาที่จะมีการตัดสินใจเลือกวิธีการดูแลของตนเอง กล้านำเสนอความคิดให้ทีมสุขภาพรับรู้ได้ งานวิจัยของกมลเนตร ใฝ่ชำนาญ(2546) ทำการศึกษาผลการให้มารดามีส่วนร่วมซึ่งกันและกันกับพยาบาลในการดูแลบุตรที่เกิดก่อนกำหนดต่อความเครียดของมารดา ซึ่งสอดคล้องกับ Melnyk et al., (2001) ไดศึกษาการมีสวนรวมของมารดาในการดูแลทารกคลอดกอนกําหนดตั้งเเตทารกยังรักษาอยูในหอผูปวยหนักทารกแรกเกิด (NICU) ทำให้มารดามีส่วนร่วมในการดูแล ส่งเสริมสัมพันธภาพและเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง สามารถแสดงบทบาทการเป็นมารดาได้ มารดามีความรู้ทักษะในการดูแล ในทางเดียวกันBernadette et al. (2004) ได้ศึกษาการใช้โปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาที่มีบุตรป่วยหนักที่เข้ารับการรักษาในPICU พบว่า ผลลัพธ์ขั้นต้นมารดามีลดความวิตกกังวลของมารดา ( Maternal anxity) ความคิดด้านลบ(negative mood state)และอาการการซึมเศร้า( depress ) มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมารดา ( Maternal beliefs) ลดความเครียด (Parent stress)และ มารดาส่วนร่วมการดูแลเด็กป่วย( Parent participation) สอดคล้องกับสุภาวดี ชุ่มจิตต์ (2547) ศึกษาการใช้โปรแกรมการสร้างพลังอำนาจต่อภาระการดูแลเด็กออทิสติกของบิดามารดาโรงพยาบาลยุวประสารทโยปถัมภ์ พบว่า ผลทำให้บิดามารดามีความรู้เกี่ยวกับการเจ็บป่วยและภาระการดูแลเด็กออทิสติก รวมถึงเข้าใจระบบบริการของโรงพยาบาลและมีความตระหนักในคุณค่าของตนเอง ทำให้บิดามารดามีพลังอำนาจ ที่จะดูแลเด็กออทิสติก และสอดคล้องกับผลการศึกษาของ Marian et al.,2000 เนื่องการวิเคราะห์ผลระยะยาวของการเสริมสร้างพลังอำนาจครอบครัว และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ผลการศึกษาพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของความรู้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของการเสริมสร้างพลังอำนาจครอบครัว และปริญญาภรณ์ บุญยะส่ง(2548) ศึกษาการใช้โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อภาระการดูแลเด็กปัญญาอ่อนของผู้ดูแลในครอบครัว โรงพยาบาลปทุมธานี พบว่าโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อภาระการดูแลเด็กปัญญาอ่อน มีผลทำให้ภาระการดูแลในครอบครัวลดลงตามแนวคิดของกิบสัน(1995)ที่กล่าวว่า การเสริมสร้างพลังอำนาจคือการเพิ่มความสามารถและความแข็งแกร่งของครอบครัวของผู้ดูแลให้สามารถควบคุมสถานการณ์ มีผลทำให้ภาระการดูแลลดลง ดังนั้นจึงได้จัดทำแนวปฏิบัติการเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาขึ้นในตึกNICU เนื่องจากผู้ศึกษาเห็นว่าการเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาสามารถนำกระบวนการมาใช้กับมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนดได้ การเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดเป็นแนวทางหนึ่งที่เป็นการช่วยให้บุคคลมีความมั่นใจ มีศักยภาพ และมีทักษะในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดได้ หรือความสามารถควบคุมโชคชะตาและช่วยเหลือได้ โดยมุ่งเน้นที่ความสามารถของบุคคลในการทำหน้าที่ของตน หรือการทำให้มารดาสามารถค้นหา พัฒนาและใช้ประโยชน์จากพลังที่มีอยู่ในตนเอง ในการใช้สิทธิของต้น แสวงหาความรู้ กล้าแสดงออกถึงความต้องการให้บุคคลอื่นรับทราบ และเกิดการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้กรอบแนวคิดของ Gibson(1995) ซึ่งเป็นกระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจเป็นกระบวนการภายในบุคคล(intrapersonal process) การเสริมสร้างพลังอำนาจนำมาซึ่งการรับรู้พลังอำนาจ มารดามีความสามารถในการจัดการหรือควบคุมสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องได้ โดยมีการรับรู้ใน 4 ด้าน 1) ความรู้สึกถึงความสำเร็จในสถานการณ์ของเด็กป่วย เกิดการชัดเจนมากขึ้นในการดูแลและประสบการณ์เดิมที่มีมาผสมผสาน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดี 2) มีความพึงพอใจในตนเอง เมื่อบุคคลประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้เกิดความพึงพอใจและความมั่นใจในการปฏิบัติงานต่อไป 3) การพัฒนาการดูแล ซึ่งช่วยให้บุคคลมั่นใจในความสามารถของตนเอง 4) มีเป้าหมายและมีความหมายในชีวิต โดยมีความมุ่งหวังผลลัพธ์ในระดับบุคคล ของการใช้แนวทางการเสริมสร้างพลังอำนาจไปใช้ในการปฏิบัติครั้งนี้ ให้มารดาเกิดความมั่นใจในความสามารถของตน มีศักยภาพ และมีทักษะในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดได้ กล้านำพลังแสดงถึงความต้องการและมีส่วนร่วมในการดูแลทารกร่วมกับทีมสุขภาพ และเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมของการพยาบาลที่มีการเสริมสร้างพลังอำนาจให้มารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนดต่อไป
วัตถุประสงค์หลัก
1. เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1. การเสริมสร้างการรับรู้พลังอำนาจของมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด
2. พัฒนาทักษะการดูแลของมารดา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้เป็นแนวทางที่เป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาความสามรถการดูแลของมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด
2. ทารกได้รับการดูแลจากมารดาอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการกลับเข้ามารับการรักษาซ้ำหลังจำหน่ายจากโรงพยาบาล
คำนิยามศัพท์
1. ทารกคลอดก่อนกำหนด ( Preterm Infant) หมายถึง ทารกที่มีอายุครรภ์ 37
สัปดาห์เต็มหรือต่ำกว่านี้ โดยคำนวณจากวันมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายของมารดาและไม่คำนึงถึงน้ำหนักตัว ส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักทารกน้อยกว่า 2,500 กรัม ประเภทของทารกที่ทำการศึกษาเป็นกลุ่มทารกที่ใกล้เคียงกับเด็กปกติ(Borderline premature) มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ ที่มีน้ำหนักทารกน้อยกว่า 2,500 กรัม มีปัญหาน้อยที่สุด และทารกคลอดก่อนกำหนดระดับกลาง (Moderately premature) มีอายุครรภ์ระหว่าง 31-36 สัปดาห์ น้ำหนักอยู่ในช่วง 1,500-2,500 กรัม ทารกกลุ่มนี้มีอวัยวะที่ไม่สมบูรณ์
2. แนวปฏิบัติการเสริมสร้างพลังอำนาจ หมายถึง คู่มือการปฏิบัติการพยาบาลที่ใช้กระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจของGibson (1995) โดยใช้กระบวนการ 4 ขั้นตอน ได้แก่การค้นหาสถานการณ์จริง การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ การตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับตนเอง และการคงไว้ซึ่งการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งผลลัพธ์การเสริมสร้างพลังอำนาจ ในระดับบุคคล คือการรับรู้พลังอำนาจ ทำให้มารดาเกิดความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง และมีทักษะในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด
กรอบแนวคิดแนวปฏิบัติการเสริมสร้างพลังอำนาจ
Iowa Model ในการพัฒนาแนวปฏิบัติการเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด 1.พิจารณาปัญหาที่ต้องการพัฒนา1.1Problem-focused trigger1.2Knowledge-focused trigger2.ปัญหาที่เป็นที่ต้องการขององค์กร3.รวบรวมงานวิจัยและหลักฐานอื่นๆ4.พิจารณางานวิจัยสนับสนุนปัญหา มีเพียงพอหรือไม่- ระบุผลลัพธ์ที่คาดหวังจาการเปลี่ยนแปลง-รวบรวมข้อมูลก่อนดำเนินโครงการเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐาน-จัดดำเนินแนวปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์- ดำเนินการตามแนวปฏิบัติ- ประเมินผลทั้งกระบวนการและผลลัพธ์-ปรับแนวปฏิบัติ |
การรับรู้พลังอำนาจของมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด
|
ทักษะการดูแล |
วิธีการดำเนินการศึกษา
โครงการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล
การเสริมสร้างพลังอำนาจแก่มารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด
ดำเนินการโดยประยุกต์กระบวนการใช้ผลงานวิจัยของไอโอวา (IOWA
Model of evidence-based practice to promote quality care,
2001) ประกอบด้วย
ขั้นตอนดังนี้
1. เลือกประเด็นปัญหาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
ในการเลือกประเด็นปัญหาที่ต้องการศึกษาครั้งนี้
ผู้ศึกษามีการวิเคราะห์ปัญหาจาก
3 แหล่งข้อมูล
คือ -
จากประส
อยากรบกวนปรึกษาเพิ่มค่ะ
สนใจเรื่องนี้ค่ะ "การพัฒนาแนวปฏิบัติการสร้างเสริมพลังอำนาจมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด" เนื่องจากว่ากำลังทำวิจัยเรื่องของการเตรียมความพร้อมมารดาโดนใช้แนวคิดของ Gibson กลุ่มเป้าหมายเป็นมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนดและมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก รบกวนหน่อยนะค่ะ ไม่ทราบว่าได้ลงตีพิมพ์ที่ไหนหรือเปล่าค่ะ จะได้ไปหาเอกสารมาอ่านเพิ่มเติมค่ะ ขอบคุณค่ะ
กำลังทำ is เรื่องแนวปฏิบัติการสร้างเสริมพลังอำนาจในผู้ป่วยcopd อยากศึกษางานอาจารย์เพิ่มหาอ่านได้ที่ไหนค่ะ