ผมอยู่ในข่ายของ "คนบ้า"


  • ผมอยู่ในข่ายของ "คนบ้า" เป็นเรื่องที่ ๒ ที่แว๊ปเข้ามา

   วันศุกร์ที่ผ่านมา ผมทราบจากเพื่อนว่า ทางคณะฯ (เรื่องผ่านมาถึงคณะฯ) ให้เลือกสถานที่ที่จะไปเที่ยว (ศึกษาดูงาน : ตัวชี้วัดการพัฒนาบุคลากร) คือ ๑) ประเทศจีน ๒) ประเทศเกาหลี ๓) ประเทศเวียดนาม ๔) ประเทศสิงคโป โดยมหาวิทยาลัยจะออกเงินให้ ๑๕,๐๐๐ ต่อคน ที่เหลือให้ออกกันเอง คณะอื่นๆเขาเชิญชวนให้ไปเวียดนาม เพราะออกเงินส่วนเกินให้กับบริษัททัวร์เพียง ๒,๐๐๐ บาท

   ผมทราบแล้วจากเพื่อนแต่ไม่ได้ไปลงชื่อ โดยผมคิดบ้าเกินไปว่า เงินที่มหาวิทยาลัยออกให้นั้น น่าจะเป็นเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย และสวนหนึ่งและน่าจะเป็นตัวหลักด้วยซ้ำไปคือ เงินค่าลงทะเบียน รายการนี้คงจะเป็นเงินจำนวนมากเหมือนกัน ในฐานะที่เป็นคนจนเงิน จึงรู้สึกเสียดาย กว่าจะได้มาสักบาทสักสตางค์มันยากเหลือเกิน หลายคนบอกว่า การไปเที่ยวมันคุ้มมากๆ อย่างไปจีน แม้จะออกไปประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท ก็คุ้ม หลายคนบอกว่า ไปเหอะ ไปเหอะ อย่าไปคิดอะไรมาก แต่ผมก็ไม่ได้ลงชื่ออยู่ดี เพราะภาพที่อยู่ในความคิดผมคือ นักศึกษาจำนวนมากต้องทำงานตอนค่ำ ส่วนกลางวันเรียนหนังสือ หลายคนต้องรีบกลับบ้านไปทำนาช่วงปิดเทอม หลายคนบอกผมว่า เขาทานข้าววันละ ๒ มือเท่านั้น คือเช้ากับเที่ยง ตอนเที่ยงของเขาคือ บ่าย ๓ โมง หลายคนบอกว่า เขาทานข้าวเพียงมือเดียว ภาพเหล่านี้ ดวงตาที่ต้องอดทนและต่อสู้เพื่อไปยืนให้ได้ในสังคมการเอาเงินเป็นเป้าหมาย มันปรากฎกับผมอยู่ตลอดเวลา หลายองค์กร (องค์กรการกุศล) ต้องมาเรี่ยไรในห้องเรียน เพื่อขอบริจาคเงิน โดยที่ไม่เคยถูกปฏิเสธจากนักศึกษา หลายคนต้องหาเงินมาทำกิจกรรมโครงการต่างๆ โดยบางโครงการมีเงินอยู่แล้ว คิดไปแล้วรู้สึกเศร้าสลดใจ ใช่ ผมคิดมากไปหรือเปล่า

   วันจันทร์หลังจากกิจกรรมรับปริญญาเรียบร้อย ทางมหาวิทยาลัยก็จัดเลี้ยงผู้ทำงานที่ห้องอาหารแห่งหนึ่ง ผมกินไปก็เฝือดคอไปเรื่อยๆ กระเดือกไม่ค่อยจะลง ผู้บริหารท่านหนึ่งพูดประกาศในห้องอาหารว่า ใครจะดื่มวิสกี้ หรือเบียร์หรือเหล้าก็มีบริการนะครับ เชิญได้เลย ผมพูดกับเพื่อนท่านหนึ่งว่า เรากินกันสนุกเฮฮาดีแท้ ผมกินเสร็จก็เดินออกไปรอข้างนอก ซึ่งมืดแล้ว แต่ก็มีเพื่อนอีกท่านหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เพื่อนที่อยู่ในห้องอาหารถามผมว่า จะไปไหน ผมก็บอกว่า ออกข้างนอก ทำไมล่ะ ผมก็ตอบไปว่า ข้างในคนเยอะ เพื่อนก็บอกว่า "อ๋อเข้าใจแล้ว" ไม่นานเพื่อนที่ถามผมนั้นก็เดินออกมา เรารอคนกินอาหารเสร็จประมาณเกือบชั่วโมง จึงขึ้นรถกลับ

   อาการของผมอย่างนี้แสดงว่า ผมเป็นบ้า หรือไม่ก็เป็นโรคซึมเศร้า แต่ผมก็คงไม่ได้เป็นคนเดียว เพื่อนผมที่มารอผมข้างนอกก็เป็นด้วย ฮา ฮา ฮา

คำสำคัญ (Tags): #บันทึกความคิด
หมายเลขบันทึก: 81073เขียนเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2007 09:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ตุลาคม 2015 10:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
ปัทมาวดี โพชนุกูล ซูซูกิ

อาจารย์เอกเป็นคนดีค่ะ

ที่คณะฯของพี่ก็มีงบสัมมนาประจำปีนอกสถานที่เหมือนกันค่ะ  อัตราเดียวกันเลยคือ 15,000 บาทต่อคน สำหรับไปต่างประเทศ  และ 9,000 บาทสำหรับไปในประเทศ  ที่เหลือจ่ายเอง  (แต่เราจะจัดปีเว้นปี เพื่อประหยัดงบ  ปีที่ไม่ไปข้างนอก  เราก็จัดสัมมนาใหญ่ในคณะฯ   ที่ผ่านมาหลายปี เรายังไม่เคยไปต่างประเทศกันเลยค่ะ  ไกลที่สุดที่ไปก็แถวๆ ชะอำ เขาใหญ่   ปีนี้ว่าจะไปกระบี่)

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือ  เราทำอะไรกันบ้างตอนใช้เงินจำนวนนั้นนอกสถานที่  

ที่คณะใช้จัดการประชุมคณาจารย์ด้วย  ถือว่าเป็นการประชุมนอกสถานที่ เพื่อให้คนไปกันเยอะๆ  ได้สังสรรกันแบบเบาๆ  ให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการทำงาน

การได้ศึกษาดูงาน เห็นอะไรใหม่ๆ ก็จำเป็นเช่นกันค่ะ

ถ้าจ่ายเงินแล้วทำให้ทีมมีพลัง ทำงานได้ดีขึ้น  ก็น่าจะโอเคนะคะ

 

  • วันนี้ทางฝ่าย...น่าจะเป็นส่งเสริมวิชาการโทรมาถามซ้ำว่า จะไปหรือเปล่า ผมก็บอกว่า ไม่ได้ไป แล้วอาจารย์......ล่ะ จะไปหรือเปล่า ผมรีบไปถามเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า ไม่ได้ไป
  • เรียนอาจารย์ปัทม์ที่เคารพครับ ถ้าเป็นธรรมศาสตร์ผมจะถือว่าเป็นความจำเป็นที่อาจารย์ต้องไปพัฒนาตัวเอง เพราะผมคิดว่า งบประมาณมีมากพอ แต่ที่ที่ผมทำงานนี้ ผมคิดว่า ยังไม่ควร สถาบันราชภัฏเพิ่งใช้ชื่อว่า มหาวิทยาลัยเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้น มีอะไรหลายอย่างที่ต้องพัฒนาโดยเฉพาะความรู้ ความสามารถ ซึ่งไม่ใช่การเที่ยว ในวาทกรรมว่า "การศึกษาดูงาน" เท่าที่ผมสังเกต ปีที่แล้ว บอกว่าไปศึกษาดูงาน ไปประชุมนอกสถานที่ แต่ผมไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงหลังจากการดูงาน การไปประชุมก็เรื่องหนึ่ง กลับมาก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมว่ามัน....ยังไม่ควรแน่ๆ
  • เรียนอาจารย์จตุพร ขอขอบคุณครับสำหรับกำลังใจ :-)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท