1.การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
หลักการหลักการ
ความเครียดมีผลทำให้กล้ามเนื้อหดตัว สังเกตได้จากอาการ
หน้านิ่วคิ้วขมวด กำหมัด กัดฟัน ฯลฯ
การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อทำให้เกิดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง
ปวดไหล่ เป็นต้น
การฝึกคลายกล้ามเนื้อจะช่วยให้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลดลง
ในขณะฝึกจิตใจจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ
ทำให้ลดการคิดฟุ้งซ่าน และวิตกกังวล
จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้นกว่าเดิม
วิธีการฝึก
เลือกสถานที่ที่สงบปราศจากเสียงรบกวน
นั่งในท่าที่สบาย คลายเสื้อผ้าให้หลอม ถอด รองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง
ตั้งสมาธิอยู่ที่กล้ามเนื้อส่วนต่าง
ฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ 10 กลุ่ม
ดังนี้
-
มือและแขนขวา โดยกำมือ เกร็งแขน แล้วคลาย
- มือและแขนซ้าย โดยทำเช่นกัน
- หน้าผาก โดยเลิกคิ้วสูงแล้คลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย
- ตาแก้ม จมูก โดยหลับตาให้แน่น ย่นจมูกแล้วคลาย
- ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย
เม้มปากให้แน่น แล้วคลาย
- คอ โดยก้มหน้าให้คางจดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย
- อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นแล้วคลาย
ยกไหล่สูงแล้วคลาย
- หน้าท้อง และก้น โดยแขม่วท้องแล้วคลาย ขมิบก้นแล้วคลาย
- เท้าและขาขวา โดยเหยียดขา งอนิ้วเท้าแล้วคลาย
เหยียดขากระดกปลายเท้าแล้วคลาย
- เท้าและขาซ้าย โดยทำเช่นกัน
ข้อแนะนำ
1. ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อ
ให้น้อยกว่าระยะเวลาที่ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง 3-5 วินาที ผ่อนคลาย 10-15
วินาที เป็นต้น
2. เวลากำมือ ระวังอย่าให้เล็บจิกเนื้อตัวเอง
3. ควรฝึกประมาณ 8-12 ครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญ
4. เมื่อคุณคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลย
โดยไม่จำเป็นต้องเกร็งก่อน
5. อาจเลือกคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่มีเป็นปัญหาเท่านั้นก็ได้ เช่น
บริเวณใบหน้า ต้นคอ หลัง
ไหล่ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัว
จะช่วยให้ใช้เวลาน้อยลง
2.
การฝึกการหายใจ
หลักการ
ตามปกติทั่วไปคนจะหายใจตื้น ๆ
โดยใช้กล้ามเนื้อหน้าอกเป็นหลัก
ทำให้ได้ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายน้อยกว่าที่ควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเครียด
คนเราจะยิ่งหายใจถี่และตื้นมากกว่าเดิม
ทำให้เกิดอาการถอดหายใจเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ได้ออกซิเจนมากขึ้น
การฝึกหายใจช้า ๆ ลึก ๆ
โดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลมบริเวณท้องจะช่วยให้ร่างกายได้อากาศเข้าสู่ปอดมากขึ้น
เพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดและยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กล้ามเนื้อหน้าท้องและลำไส้ด้วย
การฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี จะทำให้หัวใจเต้นช้าลง สมองแจ่มใส
เพราะได้รับออกซิเจนมากขึ้นและการหายใจออกอย่างช้า ๆ
จะทำให้รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความเครียดออกไปหมดจากตัว
วิธีการฝึก
นั่งในท่าที่สบาย หลับตา
เอามือประสานไว้บริเวณท้อง ค่อย ๆ หายใจเข้า พร้อม ๆ กับนับ 1-4
เป็นจังหวะช้า ๆ 1…2…3…4…ให้รู้สึกว่าท้องพองออก
กลั้นหายใจเอาไว้ชั่วครู่ นับ 1-4
เป็นจังหวะช้า ๆ เช่นเดียวกับเมื่อหายใจเข้า ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก
โดยนับ 1-8 อย่างช้า ๆ 1…2…3…4…5…6…7…8…
พยายามไล่ลมหายใจออกมาให้หมดสังเกตว่าหน้าท้องแฟบลง ทำซ้ำอีก
โดยหายใจเข้าช้า ๆ กลั้นไว้ แล้วหายใจออก
โดยช่วงที่หายใจออกให้นานกว่าช่วงหายใจเข้า
ข้อแนะนำ
1. การฝึกการหายใจ
ควรทำติดต่อกันประมาณ 4-5 ครั้ง
2. ควรฝึกทุกครั้งที่รู้สึกเครียด รู้สึกโกรธ รู้สึกไม่สบายใจ
หรือฝึกทุกครั้งที่นึกได้
3. ทุกครั้งที่หายใจออก
ให้รู้สึกได้ว่าผลักดันความเครียดออกมาด้วยจนหมด
เหลือไว้แต่ความรู้สึกโล่งสบายเท่านั้น
4. ในแต่ละวัน ควรฝึกประมาณ 40 ครั้ง
ผลดีจากการฝึกคลายเครียดขณะฝึก
-
อัตราการเผาผลาญอาหารในร่างกายลดลง
- อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง
- อัตราการหายใจลดลง
- ความดันโลหิตลดลง
- ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อลดลง
หลังการฝึก
- ใจเย็นลง
- ความวิตกกังวลลดลง สบายใจขึ้น
- สมาธิดีขึ้น
- ความจำดีขึ้น
- ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีขึ้น
- สมองแจ่มใส แก้ปัญหาดีขึ้น