บริจาคเงินให้ขอทาน: วันหนึ่งผู้เขียนส่งลูกสาวไปเรียนดนตรีในเมืองขอนแก่น ขณะส่งนั้นรถจอดสนิทเราทำหน้าที่พ่อแล้วก็จะกลับบ้านก่อน ขณะนั้นเห็นขอทานสองพ่อลูกกำลังจะเดินผ่านหน้ารถไป ผู้พ่อตาบอด มือถือแคน ปากก็พึมพำอะไรไม่ทราบ ลูกเดินหน้าถือไม้เท้าจูงผู้พ่อ เด็กน่าจะอายุประมาณ ป 3 หรือ ป4 นี่แหละ ส่วนพ่อน่าจะเกิน 60 ไปแล้ว ลูกเดินไปปากก็กัดอะไรเล่นก็ไม่ทราบ ก็เหมือนเด็กๆทั่วไปที่จิตใจอยู่ที่การสนุก เล่นอะไรต่อมิอะไรไป อีกมือหนึ่งของเด็กถือขันน้ำเก่าๆเล็กๆใบหนึ่ง คงเอาไว้รับการบริจาค
ผู้เขียนสังเกตเห็นผู้พ่อพยายามถามว่าจะปีนขึ้นฟุตปาทหรือยัง จะได้ก้าวสูงๆหน่อยจะได้ไม่สดุดล้มลง ผู้เขียนคิดได้ว่าน่าที่จะบริจาคเงินเล็กน้อยให้สองพ่อลูกนี้หน่อย จึงเรียกเด็กมาหา.. ไอ้หนู..มาหาอาหน่อย อาจะให้เงิน เด็กก็จูงผู้พ่อเข้ามาใกล้ๆ ผู้เขียนควักแบงก์ 20 มา พอดีมันมีใบย่อยที่สุดเท่านั้นจึงเอาใส่ขันให้เด็กไป ผู้พ่อก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พลางก็อนุโมทนาอำนวยอวยพรให้ผู้เขียนเสียมากมาย เด็กจูงพ่อห่างออกไป ผู้เขียนก็ดูเขาเดินทางต่อไป
การยักยอกเงิน: ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นต่อหน้าสายตาผู้เขียนจนงงไปหมดเลย คือ เจ้าเด็กผู้ลูกหยิบแบงก์ยี่สิบใส่กระเป๋ากางเกงเขา แล้วก็ล้วงเอาเหรียญออกมาใส่ในขันนั้นแทน และใส่ให้มีเสียงดังด้วย ผู้พ่อยิ้มอย่างดีใจ ปากก็พึมพำแล้วก็ค่อยๆคลำตามไม้เท้าไปถึงขันใบนั้นหยิบเอาเหรียญนั้นใส่กระเป๋ากางเกงของตัวเองไป ผู้เขียนไม่ทันสังเกตว่าเป็นเหรียญอะไร 5 หรือ 10 ก็ไม่ทราบ และงง งง ตรงนั้นสักพักหนึ่งก็ขับรถกลับบ้าน
ระหว่างทางก็คิดแต่ขอทานสองพ่อลูกนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกับเด็กขอทานผู้ลูก ทำอะไรกับเงินนั่น กับพ่อและจะเอาเงินนั้นไปทำอะไร ทำแบบนี้มานานเท่าใดแล้ว พ่อเขารู้เรื่องไหม เด็กคนนั้นเป็นลูกจริงๆหรือเปล่า ทำไมต้องยักยอกเงินบริจาค คิดไปเองว่า เด็กคงจะหมายตาของเล่นอะไรไว้ เงินส่วนนี้คงสะสมเพื่อเอาไปซื้อของเล่น ทำไมต้องยักยอก อยากได้อะไรก็ขอพ่อก็ได้ คิดไปว่า อาศัยความได้เปรียบที่ตัวเองตาดีดี พ่อตาบอด เลยเอาความได้เปรียบนี้เอาเปรียบพ่อของตัวเองหรือเปล่า หากวันนี้เขายังมีนิสัยเช่นนี้ เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นคนแบบไหนกัน.. แล้วทำไมเราไม่ลงรถไปเตือนเด็ก หรือแก้ปัญหานี้ต่อหน้าพ่อเขา หรือว่าเราคิดมากเกินไป... เออ เมื่อเด็กๆ เราก็เคยขโมยตังค์แม่ไปซื้อลูกโป่งมาเล่นนี่นา....