ชีวิตราชการที่พอเพียง


ชีวิตราชการที่พอเพียงของผม จึง ไม่ได้หมายความว่ผมจะปฏิเสธความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ หากแต่รู้จักพอใจกับสิ่งที่เป็น และขับเน้นผลงานในหน้าที่มาให้เป็นที่ประจักษ์ สร้างประโยชน์ความสุขแก่ตนเอง แก่ผู้คนและทุกสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว องค์กร ประชาชน สังคม ประเทศชาติ

          ผมค่อนข้างจะซีเรียส กับงานราชการอย่างมากในช่วงสิบปีแรกที่เข้ารับราชการ   จะเรียกว่า ไฟแรง  มี  อุดมการณ์  หรืออะไรก็ว่าไป   แต่มีความตั้งใจที่จะทุ่มเททำงานอย่างสูง   ทำอย่างมีความสุขที่ได้ทำ  ไม่ใช่มีความสุขที่ได้เป็นข้าราชการ  แต่มีความสุขที่ได้ทำหน้าที่ราชการ

 

          แต่ผมอาจเป็นข้าราชการที่ออกจะแตกต่างไปจากคนอื่นๆอยู่บ้าง   ถ้าจะเทียบกันทั้งทางรูปลักษณ์ภายนอก  คุณลักษณะภายใน  วิธีคิด  กระบวนทัศน์ ไปจนถึงกระสวนพฤติกรรมที่แสดงออก     อย่างไรก็ตามสิบเจ็ดปีแห่งชีวิตราชการ ผมก็ไม่เคยขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา  หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานอย่างรุนแรง   เพราะผมรู้ดีว่าคนอย่างผม  โดยสันดานเดิม เมื่อถึงที่สุดมันมีจุดแตกหักอยู่  แต่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องแตกหัก ในเมื่อเราอดทนต่อบางสิ่งบางอย่างได้  และมีเป้าหมายที่จะเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาวกว่านั้น   ในระบบราชการอย่างนี้  ใครทนไม่ได้ออกไป   คนออกคือคนขี้แพ้  ทุกวันนี้ เพื่อนฝูงมักจะแปลกใจเสมอ ที่ผมยังอยู่อย่างลอยนวลในระบบราชการ  ทั้งๆที่เคยเยาะผมว่า  คนอย่างนี้จะอยู่ได้นานหรือในระบบราชการ   แต่ผมก็ยังอยู่ได้  และอยู่แบบอยากอยู่  และไม่แปลกใจเลยที่ทำไมยังอยู่

 

          งานราชการเปลี่ยนไป  มันมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงเข้ามาในทิศทางที่ผมเคยหวังไว้  เคยอยากเห็น   อยากให้เป็น   การปฏิรูประบบราชการตั้งแต่โครงสร้าง  ไปจนถึงรากวัฒนธรรม  ผมเห็นความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า  เดี๋ยวมีนโยบายนั่นนี่ออกมา  ตามชุดของรัฐบาล  ตามกระแสการเมือง  ตามกลไกการบริหารจัดการ   แต่ล้วนแล้วแต่ เป็นการพยายามให้ราชการเปลี่ยนแปลง ไปอย่างที่มันควรเป็น  หรือที่ประชาชนผู้เสียภาษีอยากให้เป็น   แต่แท้จริงแล้ว ข้าราชการน้อยใหญ่ จะอยากเป็น อยากเปลี่ยนแปลงไปตามความคาดหวังนั่นหรือเปล่า ไม่มีใครรู้   จึงมีข้าราชการบางกลุ่ม  ที่ปากพูดพร่ำบ่น ถึงการปฏิรูประบบราชการ  การพัฒนาระบบราชการ  เรียกว่าท่องตามนโยบายรัฐบาลได้ทุกคำ ทุกวรรค   แต่ในนิสัยและพฤติกรรมแล้ว ถอยหลังไปจนถึงยุคศักดินา เจ้าขุนมูลนาย   จึงไม่แปลก ที่ข้าราชการในยุคปฏิรูป  ยังต้องวิ่งตามประจบประแจง  ผู้มีอำนาจ  เพื่อรักษาตำแหน่ง หรือไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่ดีกว่า  จึงไม่แปลกที่ปัญหาคอร์รัปชั่น  ยังเป็นปัญหาใหญ่ของระบบราชการไทยในทุกวันนี้

 

          อย่างว่า แมลงวัน ย่อมไม่ตอมแมลงวันด้วยกัน  ผมพูดมากไปกว่านี้ไม่ได้   ทั้งที่อยากแสดงความชัดเจนในแนวคิด  ด้วยทัศนคติที่ดี ในการรับราชการ  แต่ความชัดเจน อาจกลายเป็นความก้าวร้าวรุนแรงในสายตาผู้อื่น   ผมเพียงอยากจะบอกว่า ข้าราชการในยุคปฏิรูป  ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนแปลงใคร หรืออะไร ให้มันยิ่งใหญ่ ยุ่งยาก  เพียงแต่ทุกคนทุกผู้ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทั้ง ทัศนคติ ฐานคิด พฤติกรรม ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ของระบบราชการ  ให้โน้มเอียงสู่สิ่งที่ประชาชนคาดหวัง เท่านั้นก็น่าจะดีกว่าเดิมแล้ว

 

          ต่ออีกนิดว่าควรเลิกยึดมั่นถือมั่น ว่าเราเป็นข้าราชการ  เลิกสร้างอาณาจักรทั้งในแง่ปัจเจก  และในภาพรวมขององค์กร  ทำงานร่วมกัน(อย่างที่เรียกกันสุดหรูว่าบูรณาการ)ให้ได้  และทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายอื่นๆ ให้ได้  ไม่ควรเกี่ยงว่าคุณเริ่มก่อนสิ..  คุณเข้ามาหาผมก่อนสิ.. หรือใครคิด คนนั้นก็ทำสิ...ฯลฯ

 

สิ่งเหล่านี้  ผมคิดมาตั้งแต่จบการศึกษาปริญญาตรีรัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต  มาจากคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่  เมื่อร่วมยี่สิบปีก่อนโน้น  และยังคิดค้างคาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนบัดนี้   จนรุ่นพี่บางคนติติงว่า คิดอย่างมึง  ไม่มีวันได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการ   ไม่เป็นไรนี่ครับ  ไม่ก้าวหน้าก็ไม่เห็นเป็นไร  เพราะพักหลังผมเริ่มมาคิดถึง ชีวิตราชการที่พอเพียง ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  และตามแบบอย่างของพ่อผม ที่เกษียณอายุไปในตำแหน่งศึกษาธิการอำเภอ (ทั้งๆที่มีโอกาสไต่เต้าไปตำแหน่งที่สูงกว่านั้น)  ด้วยความที่รู้สึกว่าพอแล้ว  และยึดมั่นคำพระที่ว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุข ทำงานงานให้สนุก มีความสุขกับการทำงาน  จนบัดนี้แม้ท่านจะพ้นจากราชการไปแล้ว แต่ยังทำงานสังคม ด้วยจิตกุศล อันเป็นสาธารณะอย่างไม่หยุดหย่อน

 

ผมยังอยากอยู่และทำงานราชการ อย่างเป็นสุขต่อไป  การไม่วิ่งเต้นดิ้นรน ให้ได้ตำแหน่ง ไม่หาช่องทางแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ  ทำใจให้สงบนิ่ง อยู่เย็นเป็นสุขยิ่งกว่า  ชีวิตราชการที่พอเพียงของผม จึง ไม่ได้หมายความว่ผมจะปฏิเสธความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่  หากแต่รู้จักพอใจกับสิ่งที่เป็น  และขับเน้นผลงานในหน้าที่มาให้เป็นที่ประจักษ์  สร้างประโยชน์ความสุขแก่ตนเอง แก่ผู้คนและทุกสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว  องค์กร  ประชาชน  สังคม ประเทศชาติ

 

แน่นอนว่า ผมคงพอเพียง ได้ไม่ทุกสิ่ง  อาจไม่ครบถ้วน บริสุทธิ์บริบูรณ์  ตามประสามนุษย์ปุถุชน  ที่มีกิเลสมากบ้างน้อยบ้าง  แต่แก่นแกนใหญ่ๆที่เป็นหลักยึดมั่นในการดำรงชีวิต  โดยเฉพาะในงานราชการ  ที่ดำเนินมาจากต้นจนท่ามกลาง เป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของผมชัดเจนอยู่แล้วอย่างชัดแจ้ง ทั้งต่อตัวเองและสังคม

 

ฉะนั้น จึงไม่สำคัญ ที่ผมจะบอกสังคมว่า ผมพอเพียงอย่างไร   แต่กรรมหรือการกระทำของผม จะเป็นเครื่องบ่งชี้เองว่า อย่างนี้ คือชีวิตราชการที่พอเพียง  ทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เครื่องชี้วัดความพอเพียง  แม้กำหนดได้  แต่เอามาหลอกกันไม่ได้   

    ชีวิตราชการที่พอเพียงเป็นอย่างไร ?  ผมอาจต้องตอบคำถามนี้ด้วยชีวิตราชการทั้งหมดทั้งสิ้นของผมเอง...
คำสำคัญ (Tags): #ระบบราชการ
หมายเลขบันทึก: 80624เขียนเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2007 09:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 18:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)

..ความซับซ้อนของระบบราชการ และการใช้ชีวิตในสังคม ทำให้คนตีความ หรือใช้ชีวิตในวิถีราชการที่แตกต่างกัน

..ผมคิดว่าอย่างนั้น

..เพียงแต่ เราคิด หรือ จะใช้ชีวิตโดยที่จะมองมุมไหน

..ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หรือ ไม่เรียบง่าย

สุดท้าย ก็อยู่ที่ตัวตนของเราเอง 

--------------------------------------------- 

วันอาทิตย์ ที่ผ่านมา เพื่อนเก่า ที่ชื่อ นิคม ชูสุ--- โทรมาที่บ้านผม แจ้งความเคลื่อนไหว ว่าขณะนี้อยู่ที่ภูเก็ต ย้ายไปรับราชการที่นั่น ควบคู่กับความเจริญก้าวหน้าในทางธุรกิจขายตรง ???

 เป็นเช้าวันอาทิตย์เดียวกัน ที่ข้าราชการ ที่ชื่อ เสรี -ไปสอบ Final ที่ตึกฟัก มอ. --คุณพีชพงศ์ อย่าแปลกใจ ที่ชายวัย 40 ขวบ ต้องไปสอบกับเขาเหมือนกัน 555--ชีวิต คือ การเรียนรู้ มิใช่หรือ  เรียนรู้เพิ่มอีกสักนิด เพื่อมาปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ให้ดูเท่ขึ้น(คิดเอาเอง) ก้าวหน้าขึ้น ในครรลองระบบราชการ อย่างที่คุณได้บันทึกไว้

ตกเย็น ผมคงไม่มีกิจกรรมมากมาย เพียงพาครอบครัวเล็กๆ เดินเล่นงานตรุษจีน หาดใหญ่

ชีวิตที่เรียบง่าย สนุกดีออก คุณว่าไหม

 

 

 

คุณเพื่อนเสรี ที่ระลึกถึงอย่างยิ่งครับ

         ในวัยสี่สิบปีอย่างเรา  มีสิ่งที่ทำไปแล้วมากมาย และสิ่งที่ทำค้างคาก็มาก  สิ่งที่ยังไม่ได้ทำก็หลาย  อย่าว่าแต่คุณเลยที่ต้องไปสอบเมื่อวันอาทิตย์ ..

       เมื่อวันเสาร์ที่ผ่าน ชายกลางคน หัวเถิกกลมเหมือนลูกนู  พุงป่องเหมือนลูกแหยงกินขี้  --อย่างผมก็ต้องไปสอบกะเขาเหมือนกัน  และจะจบ รปม.  มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ให้ได้ ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า  

        ดีใจ ที่ทราบข่าวคราวเพื่อนเก่า(แก่)   รู้สึกเสมอว่า  โลกนี้เหมือนยังใครอยู่  ทำให้แอบยิ้มยามย้อนนึกถึง   ปลายเดือนมกรา  ผมรับโทรศัพท์ จากเพื่อนเก่าเราอีกคนหนึ่ง-- อุดม  ลีลาอุดม  ตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ  แถวไหนแล้วผมจำไม่ได้  แต่มีเบอร์ติดต่อ  น้ำเสียงฟังดู "แค็ก"เหมือนเดิม -ฮา  แต่ยังไงก็ดีใจ

       แสดงว่า เริ่มแก่เฒ่า กันมั่งแล้วพวกเรา เริ่มนึกถึงเพื่อนเก่า...

       ชีวิตผมก็เรียบง่ายครับ  กินเหล้าน้อยลง เพราะโรคตับอักเสบ และไขมันในเลือดสูง  มีความสุขกับการฟัดกับลูกหญิง-ลูกชาย ป.๓ กับป.๕  อยู่ในวัยลิง

       หลังๆมานี่ เริ่มงอนภรรยามั่งบางคราว เมื่อเริ่มทราบว่า ภรรยาไม่ได้รักหมา  ที่เราเลี้ยงไว้   และสุขสุดๆ ยามนอนคว่ำให้ลูกเหยียบหลัง  ส่วนการเอาแหนบให้ลูกถอนหงอกนั้น เลิกคิด !

       เพราะลูกถามว่า  จะให้ถอนเส้นผมขาว หรือเส้นผมดำออกดี ? มันมีพอๆกันอย่างหรอมแหรม  บนหัวกลมเหมือนลูกนูของผม

      ขอให้เรายังรักชีวิตเรียบง่ายกันต่อไป....

      ตราบเท่าชีวิตเรา...

                                     คิดถึงอยู่

ผมชอบบทนี้

ชีวิตราชการที่พอเพียง

ตั้งแต่เราเข้าไปเรียนด้วยกัน (หรือไม่ไปเรียนด้วยกัน) เค้าก็พูดถึงการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งความจริงเค้าพูดก่อนหน้านั้นอีก แต่ไม่เคยมีผลเป็นจริง เมื่อเรามารับราชการ (ก็ไล่เลี่ยกัน) มาพบกับความจริงของการทำงานภายใต้ระบบขนาดใหญ่ ที่มีวัฒนธรรมเป็นโครงสร้างที่จำหลัก มั่นคง อย่างที่ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงได้ ผมเคยประกาศกับตัวเองอย่างอหังการ์ ว่า "กูนี่แหละจะทำให้ดู กูจะเปลี่ยนมันให้ได้"

วันเวลาที่ผ่านมา มีบางครั้งที่ความตั้งใจนั้นเลือนลางจนแทบจะหายไป แต่ทุกครั้งที่นั่งลง คิดถึงเรื่องเก่า คิดถึงสิ่งที่เคยเชื่อ คิดถึงเพื่อน คิดถึงสิ่งที่เพื่อนเคยทำ และกำลังทำอยู่ ก็หวนกลับมาดึงตัวเองมาอยู่ในร่องที่อยากเดินได้

มาเจอข้อเขียนของเพื่อนที่มีความสุขอยู่กับชีวิตราชการที่พอเพียง ผมไม่อาจหาญพอที่จะใช้คำนั้น ผมเพียงแต่มีชีวิตราชการที่อย่างไม่สยบยอม ทั้งต่อระบบ ผู้คน และวัฒนธรรม

วันนี้ผมจึงผันตัวเองมาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในองค์การมหาชน

ยังคงและมีความสุขกับการคิดถึงเพื่อนเสมอ

ชอบความคิด และวิถีปฏิบัติ... ท่าทางจะเป็นครอบครัวที่ น่ารักน่ะครับ  ประเด็นที่พี่เขียน โดนใจผมพอดี ..เพราะกำลังทบทวนชีวิตพนักงานองค์การของรัฐอยู่ ..ว่าจะเอาไงต่อดี .. จากเด็ก มอ.ตานี

เฮ.. เพื่อนแม็ทธิว

ยินดีที่เข้ามาทักทาย ผมห่างหายจาก blog ไปนาน ไปทำเรื่องอื่นๆมากมาย เป็นเรื่องมั่ง ไม่ได้เรื่องมั่ง...

เรื่องงานเพลง "ลงขันทอดสะพานเพลง" ก็คาราคาซัง ล่วงเข้าปีที่ ๓ แล้ว ที่ต้องแบกความฝันของผองเพื่อนร่วม๓๐ คน เอาไว้นิ่งๆ

งานราชการ ก็พอเพียงอย่างที่ว่า จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้ขยับซีกับเขา ด้วยเหตุผลที่พออธิบายได้ โชคดีที่เขากำลังจะปรับเป็นแท่ง ไม่มีซี น่าจะเป็นโอกาสที่เราได้เอาผลงาน มาเป็นหลักประกันตำแหน่ง หรือเงินเดือน และไอ้สภาพที่คนตำแหน่งสูง เงินเดือนสูง แต่ ทำงานน้อย หรือทำงานได้ผลน้อย น่าจะหมดไปเสียที พอได้หวังกันแล้วเล่า กับ พรบ.ข้าราชการพลเรือน 2551 เช่นเดียวกับ กพร. ที่ยิ่งนับวัน ยิ่งเข้มข้น (ไม่รู้ได้ถึงไหน เท่าใด) ผมเพิ่งไปอบรม PMQA มา

 

นี่ก็เป็นอีกความหวังหนึ่ง หวังเพียงว่า คงไม่มีการแหกตากัน ความสำเร็จควรเกิดจากการปฏิบัติอย่างจริงจัง เท่านั้น ทำงานให้หนัก หลักฐานให้แน่น หมดเวลาปีนบันได ไต่ทางลัด ตัดน่อง(ขัดขา)เพื่อนแล้ว.....

เขียนที่ ห้องประชุม ๓๑๐๑ รัฐสภา ในวันพิจารณางบประมาณ ๕๒ วาระ ๒ และ ๓

ระหว่างนั่งฟังท่านผู้ควรจะทรงเกียรติทำหน้าที่ของเขา

การปกป้องงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๕๒ นี้ เหนื่อยมากๆ เพราะท่านผู้ควรจะทรงเกียรติทั้งหลายต่างก็เข้มแข็งในการใช้อำนาจที่ประชาชนให้มาไปแปลงผลประโยชน์ของประชาชนให้กลายเป็นประโยชน์แห่งตนตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา ความสะอิดสะเอียน กับเกมส์ตบทรัพย์และเกมส์แห่งผลประโยชน์ในนามผู้อ้างว่ามาจากประชาชน พาให้โกรธ ไปจนถึงหดหู่

ไอ้พวกระยำ!

แต่เพื่อนเอ๋ย ในฐานะข้าราชการ ความโกรธที่มีต่อไอ้พวกระยำข้างบน ยังไม่รุมสุมใจให้คั่งแค้นได้เท่ากับการที่ "ชั้นผู้ใหญ่" ของพวกเรา ก็เล่นเกมส์เดียวกัน ก้มหัวลงแลบลิ้นเลียแข้งเลียขา เพื่อหวังรักษาและเข้าครองตำแหน่ง ไปจนถึงเป็นส่วนหนึ่งของการปล้นเอาประโยชน์ของประชาชน ในนามข้าของราชการ

ไอ้พวกระยำกว่า!

อยากจะมีความหวังเหมือนกับที่เพื่อนมี

การประกันคุณภาพ ระบบคุณภาพ การประเมินผลที่เป็นธรรม ควรจะเป็นที่หวังได้ ดีกว่าไม่ได้หวังเอาเสียเลย

เชื่อมั่น เป็นกำลังใจให้เพื่อนเสมอ

แม๊ททิว

อูบ๊ะ..

เพิ่งมาอ่านพบอีกแล้ว สำหรับเพื่อนแม๊ททิว ที่วนมาลงความเห็น

อบอุ่นใจดีพิลึก

อีกปีสองปีจะถึง ๒๐ ปี แห่งการรับราชการ (ครบ ๑๙ เม.ย. ๒๕๕๔)

ผมเริ่มทบทวนตัวเอง ตบบ้องหูตัวเอง แล้วนิ่งนึก

แทบไม่มีผลงานอะไร น่าจดจำเลยในชีวิตราชการ

ผมจำไม่ได้เลยว่า ปี ๒๕๓๙ ผมทำงานราชการอะไรที่มีความหมาย

ชีวิตตกหล่นหายไปกับงานประจำที่โงหัวไม่ขึ้น

ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผม (ที่มักคิดอย่างศิลปิน) จะใช้ชีวิตราชการได้มายาวนาน

จนเกือบยี่สิบปี โอวว์...

ผมไม่เหมือนเดิม !?! (เริ่มหงอกและร่วงโรย หัวล้าน..)

หรือว่าผมยังเหมือนเดิม !?!

ปีงบประมาณ ๒๕๕๑ ที่สำนักงานผมมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตไป ๒ คน

๓๐ กันยายนนี้ มีผู้เกษียณ ๕ คนรวด มีย้ายอีกยังไม่นับ

ผมมานั่งนึก ปีเดียว องค์กรผมมีเจ้าหน้าที่หายไปนับสิบ

มานั่งนึกอีกที

นี่กูตกอยู่ในสังคมและ องค์กรผู้สูงอายุแล้วนี่นา

ผมเริ่มตระหนกตกใจ และพยายามแต่งเพลงมากขึ้น

บันทึกเสียงเป็นเดโมไว้ให้มากที่สุด

แล้วคงได้ส่งมาให้คุณฟังมั่ง

พยายามติดตามผมไว้..

คิดถึงเชื่อมั่น เพื่อนเอย.

พืช นั่นแหละ

หวัดดี พี่พืช

บังเอิญเจอในไซเบอร์ภูมิ

ดีใจ(ที่เห็นพี่หัวล้าน)

ผมทูน เรียนเบญมฯ เดินตามหลังพี่คม พี่สมชัย

จำดีอาจจำได้ จำไม่ได้ หมายความว่าแก่

หวัดดี น้องทูน

ยินดีที่น้องทักทาย พี่ยอมรับว่าแก่

พี่จำไม่ได้ หมายไม่ได้จริง

ย้อนถึงตอนเรียนเบญจม

จำได้บางพฤติกรรม กับบางใคร บางคน

น้องอ้างถึง พี่คม พี่สมชัย

ถ้าพบกัน และน้องไม่หัวล้านเหมือนพี่

คงพอระลึกได้

แต่ยินดี เรียกคืน รื้อฟื้นความหลัง

นี่ย่อมแสดงว่า แก่จริงๆ

หวัดดี พี่พืช

ที่บ้านเช่า หลังเล็กๆของมะ ติดกับรั้วหน้าโรงเรียน

ผมพักอยู่กับ พี่คม พี่สมชัย

พี่พืช กับ พี่สิทธิ์ แวะเวียนมาบ่อย

ผมได้ยิน มาถึงก่าแหลงแต่เรื่องดนตรี

จำได้ว่าพี่สิทธิ์ เล่น คีย์บอร์ด

พี่พืช เล่น กีตาร์โพรง

แล้วยังชวนผมไปเล่น เก้โผง วิ่งหยบในป่าซังข้าว

ภาพวันนั้น ถึงวันนี้ ยังหนุก

พี่และครอบครัวสบายดีนะครับ

หวัดดีท่านหัวหน้า ผู้นำด้วยปรัชญา อุดมการณ์แห่งวิถีการเป็นราชการไทย

กระผมมีความคิดเห็นว่ากระแสการพัฒนาระบบราชการมีมาก แต่มองแล้วเป็นเพียงระบบ และก็เอกสาร ตราบใดที่ข้าราชการทุกท่านไม่มีความกระตือรือร้น ร้อนตัว ร้อนเนื้อร้อนใจ ในการปรับเปลี่ยนจากยุคมืดของราชการสู่ยุคแสงสว่าง ระบบราชการผู้สูงอายุเป็นระบบที่ทำงานยากมากเหมือนกัน ผมคนหนึ่งที่อยู่ในระบบ ทำดีล้ำหน้า ทำช้าก็หาว่าโง่ เก่งไปอยู่ไม่นาน โง่ไปก็ไล่ออก ปรับเปลี่ยนการทำงานยากเหมือนกัน อย่างกับหัวหน้าว่า ต้องมีทั้งศาสตร์ และ ศิลป์ ในการทำงาน รวมวิทยายุทธหลายๆ สาขามาทำงาน อิอิ แต่ช่วงนี้ก็ทำงานด้วยวิถีความพอเพียงเหมือนกับหัวหน้า ชีวิตราชการพอเพียง แต่ก่อนมาทำงานมีอุดมการณ์ที่มั่งคงม๊ากๆ เป็นคนที่ร้อนพอสมควร เห็นอะไรไม่ถูกก็จะบ่นๆ พร่ำเพ้อไปต่างๆนาๆ ตามทฤษฏีที่ได้เรียนมา "ราชการต้องขยัน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ ไม่คอร์รับชั่น"แต่พอทำงานไปพักหนึ่ง ปลงได้ถือว่าเป็นวิถี วัฒนธรรม แห่งราชการ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคล้อยตามวิถีไปตามกันนะครับ ผมมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่ตามระบบ หรือว่า ขัดแย้งกับระบบเหมือนกัน เน้นสังคมอยู่ร่วมกันเป็นสุข อิอิ

ขออ้างคำกลอนนักวิชาการพอเพียงสักหน่อยนะครับ

จะพอเพียงได้อย่างไร ถ้าไม่พอ ไขว่คว้าต่อไม่สิ้นสุด เช่นไรหนอชีวิตมนุษย์

แก่งแย่งยื้อยุด เพื่อสิ่งใด

หวัดดีครับ ผมชื่อวิศรุต พิทักษ์ ทำงานกรมที่ดิน ดีใจที่ได้รูจักพี่คับระบบราชการไทยเข้ามาทำงานแล้วมีความคิดเหมือนพี่น่ะ

ยังดีที่มีในหลวงเห็นท่านทำเพื่อประชาชนแล้วทำให้เรามีกำลังใจทำงานครับ ผมอยู่สุราษฎร์ธานีถ้ามีโอกาสมาเที่ยวยินดีต้อนรับครับ

ที่ใต้เราจะนัดรวมญาติสกุล พิทักษ์ ทุกๆ 6เดือน ครั้งหน้าเดือนเมษายน 53 ครับ เบอโทผม 081 9686317

หวัดดี น้องชาย

ขอเปลี่ยนบรรยากาศ

ด้วยการฝากตัวอักษรไว้บ้างนะ

แฟนเพลงแถวชุมพรถามถึงอัลบั้มชุดใหม่

ยังรอคอยด้วยใจจดจ่อนะน้อง

ว่าง ๆ เข้ามาสัมภาษณ์หน้าไมค์บ้าง

แฟนสะพานไม้หมากอยากฟังเสียง

เป็นกำลังใจในการทำงานนะ

 

 

พี่พืช สิบ เหลือปีแล้วมั้งที่ไม่ได้เจอเติ้น ครั้งสุดท้ายกะตอนที่ไปส่งเติ้นกลับน่านที่หมอชิตหลังจากคอนเสิตร์ ระบำสยามจำได้ม้ายที่เราไปนั่งตบยุง หน้าหมอชิตกันสามคน มีพี่พืช พี่นก แล้วกะผมไอ้บ่าว ตอนนี้ไม่มีพี่นก สำหรับคนอี่นที่ยังอยู่ก็ไม่ได้เจอไครเลย ไม่ว่าจะเป็นพี่เมต พี่นาญและอีกหลายคนรวมทั้งเติ้นด้วย พมกลับมาอยู่กระบี่ตั้งแต่พี่นกเสีย แต่ยังคิดถึงทุกคน ถ้าเติ้นมากระบี่ติดต่อผมกันหนา สักวันจะไปหาเติ้นที่น่าน คิดถึงพี่พืชเสมอ บ่าว

ถึง พี่พืช พี่ชายที่เคารพ

วันนี้เป็นอีกครั้งที่ได้อ่านบทความนี้ วันนี้ไปทำบุญให้พี่มานะคะขอให้ดวงวิญญาณพี่ชายไปสู่สุคติคนดีคนหนึ่งที่น้องรู้จักและขอบคุณที่ล่าสุดยังห่วงใยและถามถึงอาการเจ็บป่วยของน้องและคงอยากให้น้องแข็งแรงด้วยความดีที่พึ่มี จะยังคงอยู่ในความทรงจำดีดีของน้องเสมอ

พี่พืชเคยเตือนหนูเสมอว่า “น้องหญิงอย่าตรงนัก หนทางข้างหน้าอีกยาวไกลปล่อยผ่านบ้างน้อง” บางครั้งหนูก็ไม่เข้าใจไปทัังหมด

แต่อยากบอกว่า พี่ชายคนนี้จะเป็นความทรงจำดีดีของน้องเสมอนะคะน้องเสียใจที่จะไม่ได้เจอพี่ชายที่สอนแนวทางในการใช้ชีวิตดีดี และไม่ได้ฟังเพลงเพราะๆ จากพี่ชายคนนี้

RIP

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท