วิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ทำให้เกิดความเสียหายกับประเทศไทย หลายด้านทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกันทำให้คนไทยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาตามหลัก "เศรษฐกิจพอเพียง" ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากขึ้น (สมุดบันทึกเสรษฐกิจพอเพียง : 2549) เพราะว่ามีกลุ่มชาวบ้านบางกลุ่มได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้น้อยมาก หรือบางคนไม่กระทบเลย ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติสุขธรรมดา ซึ่งกลุ่มที่มีความเชื่อในแนว "เศรษฐกิจพอเพียง" มานานโดยเฉพาะกลุ่มเครือข่ายปราชย์ชาวบ้านภาคอีสาน มีภูมิปัญญาชาวบ้านและปราชญ์ชาวบ้านเป็นตัวอย่างมานาน มีเครือข่ายของชาวบ้านที่ลงมือปฏิบัติจริงจากการเรียนและเข้าใจในความสำคัยจากการลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยแฉพาะความพอเพียงในรายบุคคลและครอบครัว เช่น เมื่อมีแหล่งน้ำก็สามารถปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก เหลือกินแจก
ในภาพรวมของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริในส่วนของเกษตรกรรากหญ้าจริง ๆ มีการขยายในระดับไม่สูงนัก และหลายพื้นที่ไม่ต่อเนื่อง องค์กรในชุมชนเองน่าจะมีบทบาทและควรเป็นเจ้าภาพในการส่งเสริมสนับสนุน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นนโยบายหลักของการพัฒนาท้องถิ่นที่มีโครงการมีคนรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตำบล ( อบต.) ที่มีศักยภาพสูงใกล้ชิดกับเกษตรกรและคนระดับรากหญ้ามากที่สุด ที่สำคัญ อบต. มีศักยภาพและความคล่องตัวในการบริหารและการเงิน เข้าใจในบริบทของชุมชนอย่างดี เมื่อเกษตรกรและชาวบ้านระดับรากหญ้าในแต่ละชุมชนได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากองค์กรในท้องถิ่นอย่างจริงจังโดยเฉพาะ อบต . แล้วไปขยายการขับเครื่อนเศรษฐกิจพอเพียง จะส่งผลทำให้ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะเกษตรกรในชุมได้รับการพัฒนาในแนวทางที่อยู่บนพื้นฐานของการพึ่งตนเอง ความพอมีพอกิน พอมีพอใช้ดังความหมายปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่า ความพอเพียงหมายถึงความพอประมาณการมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิอคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรน ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอก และภายในทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิงในการนำวิชาการต่างมาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอนและขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรํฐ นักทฤษฏีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสมดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุสังคมสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
การพัฒนาชุมชนในชนบทได้มีหลายองค์กรหลายหน่วยงาน พยายามที่จะดำเนินการเพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรและคนในระดับล่างได้รับการดูแลแก้ปัญหา ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมีช่องว่างของชนชั้นน้อยลง การปรับเปลี่ยนแนวคิดจาก การบริหารจัดการด้านการพัฒนาชนบทของกระทรวงมหาดไทย เป็นศูนย์กลางสั่งการผ่านกำนันผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีปัญหามากมายการแก้ปัญหาล่าช้าไม่ตรงกับความต้องการชองชุมชนเปลี่ยนมาเป็นในรูปขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โดยมุ่งหวังว่าจะเป็นองค์กรที่มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายหลัก สะท้อนความต้องการของชุมชน
แต่ที่ผ่านมาการพัฒนาชุมชนภายใต้การบริหารของอบต. ยังไม่ได้แสดงถึงการมีนโยบายที่สะท้อนความต้องการของชุมชนเท่าที่ควรไม่มีแนวความคิด หรือนโยบายหลักที่จะพัฒนาชุมชนแบบองค์รวมและบูรณาการเพื่อให้เกิดความสมดุลย์ของทุกส่งทุกอย่างและมีความยั่งยืน
ซึ่งในเรื่องนี้ศาตราจารย์นายแพทย์ประเวช วะสี ได้กล่าวไว้ในบทความวัฒนธรรมกับการพัฒนาว่า ปัญหาของการพัฒนาและต้นเหตุของการเสื่อมเสีย ทางศิลธรรมจะต้องเข้าใจลักษณะของวัฒนธรรมที่ดีขึ้น 8 ประการ 1 มีความหลากหลายกระจายอำนาจ จึงส่งเสริมการเมืองระบอบประชาธิปไตย 2. กระจายรายได้และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ 3. ส่งเสริมศักดิ์ศรีของชุมชนท้องถ่น 4. มีความบูรณาการ 5. สร้างความประสานสอดคลอ้ง(Harmony) และความสมดุลย์ยั่งยืน 6. มีการพัฒนาจิตใจ และจิตวิญญาณอันลึกซึ้ง 7. ส่งเสริมความเข้มแข็งของสังคม 8. เป็นการผดุงศิลธรรมของสังคม
อบต.จะเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาชุมชนของตัวเอง ใด้อย่างไรครับ
คงต้องเข็นกันอีกนานค่ะพี่พงษ์ แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่เจอซะทีเดียว เพราะยังองค์กรส่วนท้องถิ่นอีกหลายแห่งที่ทำได้
แต่ อบต.บางแห่งก็คงยากจนเลือดตาแทบกระเด็นแน่ เพราะแค่ที่เห็นมาสวนป่าวันก่อน ยังบอกเลยว่ามาสวนแค่อยากได้ใบประกาศ แล้วจะเอาอะไรไปพัฒนาได้
เศร้าค่ะ เศร้า
ดีใจที่มีการกระจายอำนาจ กระจายและคืนความเป็นมนุษย์ กลับมาให้กับชุมชน แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช้ดาบที่ใด้มาอย่างไร
ผมว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ในการพัฒนาชุมชน พัฒนาตัวคน ถ้าหลงทางครั้งนี้ คงจะอยากมากครับ