หลังจากเสร็จงานที่โรงแรมวินด์เซอร์ สุขุมวิท 20 ก็ฝ่ามรสุมรถติดที่ห่างไกลจากวิถีปกติ มุ่งหน้าสู่ จ.กำแพงเพชร ด้วยฝีมือ “น้องหนุ่ม” คนขับรถเจ้าประจำภายในเวลา 4 ชั่วโมง เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่มาเยือนเมืองชากังราวอย่างจริงจัง เพราะโดยปกติแล้วจะเป็นเพียงทางผ่านให้ผู้สัญจรได้แวะพักชั่วครั้งชั่วคราวยามเดินทางไกล
ระหว่างทางผ่านสิงห์บุรี ถิ่นกำเนิด ‘แม่ลาปลาเผา’ ที่โด่งดังไปทั่วราชอาณาจักร ว่ากันว่า สาเหตุที่ทำให้ปลาช่อนจากลำน้ำแม่ลา มีรสชาติอร่อยกว่าที่อื่นๆ ก็เพราะว่า ดินตะกอนในลำน้ำแม่ลานี้นั้น มีความแตกต่างจากที่อื่นๆ และความอุดมสมบูรณ์ของพืชผักต่างๆ ในลำน้ำแม่ลามีอยู่อย่างมากมาย จึงส่งผลให้ปลาในสายน้ำนี้ มีรสชาติที่แตกต่าง มาถึงนี่แล้วถ้าไม่แวะก็คงกระไรอยู่ ร้านแม่ลาปลาเผาอยู่ริมถนนสายเอเชีย ถ้ามาจากกรุงเทพฯ จะอยู่ด้านซ้ายมือ พอย่างเข้าสิงห์บุรีก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไปไม่ถูกแล้ว เพราะมีป้ายบอกอยู่ตลอดทาง หรือสังเกตได้จากขวดใหญ่ขนาดตึก 4 ชั้น ตั้งตระหง่านอยู่หน้าร้าน เป็นการนำขวดเหล้าสารพัดสีมาเรียงต่อกันคงใช้ขวดไปไม่น้อยกว่าหมื่นใบทีเดียว ใครอยากรู้ต้องลองไปนับดู เมื่อมาถึงแล้วก็ไม่ผิดหวัง ยิ่งยามหิวด้วยแล้ว ข้าวสวยร้อนๆ เสิร์ฟมาในหม้อดินขนาดเท่ากำมือ (ใหญ่ๆ) กลิ่นหอมของดินเผา ทำให้ไม่มีใครแยแสกับข้าวที่วางอยู่ตรงหน้า นอกจากก้มหน้าก้มตา ดมกลิ่นข้าวพร้อมกับการแงะ แซะ แกะเอาข้าวออกมาจากหม้อ เยือนร้านนี้แล้วไม่สั่งปลาเผาก็กลัวจะโดนค่อนขอดว่ามาไม่ถึง จึงสนอง need หรือความต้องการ ด้วยปลาช่อนเผาเกลือตัวเขื่อง ห่อหมกมะพร้าวอ่อน ผัดยอดมะระ(แม้ว) หรือที่เรียกให้ไฮโซขึ้นด้วยภาษาญี่ปุ่นว่าซาโยเต้ หาไฟเบอร์ชำระล้างลำไส้เสียหน่อย และปิดท้ายด้วยต้มยำปลาม้า ให้อาหารไม่ฝืดติดคอ จ่ายค่าเสียหายไป 600 บาท ราคาไม่ถูกเลยทีเดียว หากเทียบรสชาติและคุณภาพกับร้านริมถนนบริเวณตลาดโต้รุ่ง อ.เมืองกาญจนฯ ดีแต่ว่าห้องน้ำใหม่ สะอาด ถูกสุขอนามัย เลยมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ออกจากร้านแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทำไมไม่ถามที่มาที่ไปของขวดยักษ์ใบนั้นให้หายข้องใจเสียก่อน เห็นทีคงต้องได้ไปใหม่อีกครั้ง
4 ทุ่มตรง ล้อก็หยุดหมุนตรงหน้า ’ชากังราวริเวอร์วิว’ โรงแรมใหม่ใจกลางเมืองกำแพง ริมแม่น้ำปิง ย่างเข้าอาคารแล้วก็ให้ประทับใจในความสดซิง สะอาดสะอ้านของอาคารสถานที่ 800 บาทต่อคืนที่เสียไปนับว่าคุ้มค่ามาก เมื่อเทียบกับโรงแรมในเมืองใหญ่ๆ อย่างเช่น ลำปาง เชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผ้าเช็ดตัว เตียง หมอน ผ้าห่ม ใหม่และหอมจนนอนหลับสบาย เสียแต่ว่าราคานี้ไม่มีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่แช่มชื่นหัวใจเท่านั้นเอง
ฝั่งตรงข้ามชากังราวริเวอร์วิว ริมน้ำปิงเต็มไปด้วยร้านอาหารและรีสอร์ทที่แย่งกันผุดขึ้นอย่างกับดอกเห็ด สนนราคาเพียง 250-400 บาทเท่านั้น กับบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำที่เงียบสงบและกว้างขวาง จะมีก็แต่เพียงเสียงกีฬาทางน้ำเจ็ตสกีและสกู๊ตเตอร์ 4-5 ลำ ที่พากันมาจับกลุ่มเล่นและแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน ดูแล้วจะเพลิดเพลินไปเสียด้วยซ้ำ ช่วงที่มีผู้ชมสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น มีลำที่เสียหลักตะแคงจนคนกระเด็นตกลงไปนั่นแล
ร้านอาหารที่เรียงรายตลอดฝั่งสลับกับรีสอร์ตบรรยากาศแสนสบาย ได้รับคำแนะนำอยู่ร้านหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมมาก ชื่อร้าน ‘บ้านริมน้ำ’ ที่เจ้าถิ่นบอกว่าต้องมาทุกเดือนเป็นเวลาเกือบสองปีทีเดียว เมนูแนะนำที่ขอการันตีความอร่อยขนาดสี่ดาว ได้แก่ ไก่มะนาว เนื้อไก่บดชุปแป้งทอดกรอบ ราดด้วยครีมมะนาวอมเปรี้ยวอมหวาน แต่งหน้าด้วยมะนาวเสี้ยวเคียงคู่กับใบมะกรูดหั่นฝอยทอดกรอบ ปลาช่อนทรงเครื่อง แกงส้มชะอมไข่ใส่ดอกแคและกุ้งแม่น้ำตัวโต มียำสามรสกับผัดเผ็ดปลาอีกอย่าง จำชื่อเรียกไม่ได้แต่ก็ถูกปากจนหมดจาน หากอยากเปลี่ยนบรรยากาศที่ร้านก็มีเรือสำหรับล่องเก็บบรรยากาศเลียบริมฝั่งแม่น้ำ หนึ่งพันบาทต่อสามชั่วโมงเศษ บรรทุกคนได้ประมาณยี่สิบ สนใจก็กระโดดลงไปได้ทันที
เริ่มด้วยอาหารจะข้ามไปเรื่องอื่นแล้วกลับมาต่ออีกครั้งก็ดูจะเสียจังหวะ หลังจากมื้อเย็นเราตระเวณเที่ยวดูของดีเมืองกำแพงจนกระทั่งค่ำและด้วยน้ำใจของเจ้าภาพอันสุดแสนประเสริฐ ก็พาเราไปต่อมื้อค่ำอีกรอบแถว ต.นครชุม ด้วยสุภาพรผัดไท ร้านตึกแถวเล็กๆ นอกตลาดและไม่ใช่แหล่งชุมชน แต่ขึ้นชื่อลือชาขนาดคนมานั่งรอเปิดร้านทีเดียว เจ้าของเปิดร้านแค่วันละสี่ชั่วโมง แต่เป็นสี่ชั่วโมงที่ยาวนานมาก เพราะเสียงเคาะกระทะไม่เคยหยุดเลย ป้าแกขายผัดไทมานานมาก เส้นเหนียวนุ่มถึงเครื่องถึงรส จนไม่ต้องปรุงอะไรเลย แถมแกยังขยันขันแข็งทำขนมหวานขายอีกต่างหาก อร่อยขนาดทำเป็นแฟรนไชส์ให้คนมารับเหมาไปขายต่อกันทั่วเมืองทีเดียว สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่าไปถูกร้าน ต้องเห็นรูปถ่ายสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ติดอยู่บนกระดาษสีประดับอยู่รอบร้าน เนื่องจากลูกสาวคนสวยของป้าพิกัดร้อยกิโลกรัม++ เป็นไกด์ และรับจัดทัวร์ทั่วราชอาณาจักร ประกันความสนุกด้วยเจ้าของที่บอกว่าเป็นไกด์ที่มั่วที่สุดในประเทศไทย หลังจากอิ่มจนหิ้วท้องกันแทบไม่ไหว ก็ยังจะมีการแวะซื้อเฉาก๊วยชากังราว สัญลักษณ์อีกอย่างของเมืองกำแพงฯ แต่สุดท้ายต้องขอลาเพราะไม่มีปัญญาจะลากสังขารหนักๆ ไปหาของบรรจุลงได้อีกแล้ว
สรุปแล้วก็ไม่ได้ทราบค่าเสียหายของวันนี้ เพราะมีเจ้าภาพดำเนินการให้อย่างเรียบร้อย...ขอขอบคุณ ผอ.ชาติ มีชัย, ผอ.ชัยวรรธน์ ชูสุวรรณ์, ศน.จันแรม พงษ์สิงห์, ศน.เตือนใจ กุลมิ่ง และศน.คณาพงศ์ ศรีสุข มา ณ โอกาสนี้อีกครั้ง สำหรับความอิ่มเอมที่มอบให้ ทั้งมื้อเย็นที่อัดกันไปอย่างเต็มคราบ ผลบุญจากการนำอาหารที่เหลือโยนใส่น้ำปิงให้เหล่าฝูงปลาตะเพียนหางแดงได้อิ่มหนำ ความสนุกสนานและเสียงหัวเราะตลอดการเดินทางท่องเที่ยว ผัดไทมื้อค่ำที่ทำเอาท้องแทบระเบิด (อีกครั้ง) และปิดท้ายด้วยขนมหวานลือชื่อของเมืองกำแพง
วันนี้หนังท้องตึงหนังตาหย่อน....ค่อยมาต่อคราวหน้าเอาก็แล้วกันไม่มีความเห็น