ปัจจุบันมีการเกิดใหม่ของศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสอดคล้องกับสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา...
การที่เราจะยึดเอาศาสตร์หนึ่งศาสตร์ใดเป็นหลักในการแก้ปัญหาจึงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด...
การผสมผสานความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ แล้วหาข้อสรุปจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีและเหมาะสมที่สุดที่จะใช้ในการแก้ปัญหา...
การที่เรามีความรู้เชิงลึกในศาสตร์ใด ศาสตร์หนึ่ง ทำให้เรามีความเชื่อมั่นและยึดติดกับหลักการของศาสตร์นั้น แล้วมักจะยึดหลักการนั้นเป็นหลักในการแก้ปัญหา...
การแก้ปัญหาโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ ต้องยึดหลักตรรกะ ความเป็นเหตุเป็นผล ในขณะที่การแก้ปัญหาโดยยึดหลักศิลปศาสตร์ต้องให้ความสนใจปัจจัยทางด้านสังคม อารมณ์และความรู้สึกมาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจด้วย..
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็ก ๆ ของตัวเราเอง ปัญหาในองค์การ ปัญหาสังคม หรือแม้แต่ปัญหาระดับชาติ ก็คงต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการแก้ปัญหา เพื่อจะได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุดนั่นเอง...
ขอบคุณครับอาจารย์ ที่แวะมาทักทาย...
เห็นหน้าอาจารย์บ่อย ๆ ในหลายบันทึก...
ดีใจเข้าที่อาจารย์เข้ามาทักทาย...
เห็นด้วยครับ
ศาสตร์และศิลป์
หยินและหยาง
ทุกอย่างมีสองด้าน หากลงตัว ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ครับ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กถึงปัญหาใหญ่ระดับประเทศ
ขอบคุณครับคุณเอก
หลักหยินหยางใช้ได้กับการดำเนินชีวิตทุก ๆ เรื่องครับ..
เห็นด้วยกับคุณชอลิ้วเฮียง ครับ...
คงต้องใช้การระดมความรู้จากทุก ๆ คนในองค์การแล้วสรุปเป็นแนวทางการปฏิบัติ จะได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุดครับ...
สวัสดีค่ะคุณ Direct
เห็นด้วยค่ะว่าการใช้เพียงศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งนั้น..แก้ไขปัญหาไม่ได้..ศาสตร์เป็นแนวทางแต่ศิลป์ในการใช้ศาสตร์เป็นความสามารถเฉพาะตัว..
ครับ...คุณเบิร์ด ...
ถ้าในตัวเรามีทั้งศาสตร์และศิลป์ เราก็จะแก้ปํยหาต่าง ๆ ได้ดีครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ถ้าคูรเป็นศาสตร์ และให้เด็กนักเรียนเป็นศิลป์(ที่เข้ากันได้อย่างกลมกลืนคงจะดีไม่น้อยนะค่ะ 55
ครับ...คุณณัฐ...
เป็นความคิดน่าสนใจดีครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ศาสตร์สำคัญเป็นสิ่งทีเห็นชัด ศิลป์เป็นความซับซ้อนและลึกซึ้ง ถ้าผสมผสาน จะ คมชัดลึกจริงไหม?
ครับ... คุณสุกัญญา เวชศิลป์
เห็นด้วยกับ "คมชัดลึก" ครับ...
ศาสตร์สำคัญเป็นสิ่งทีเห็นชัด ศิลป์เป็นความซับซ้อนและลึกซึ้ง
ขอบคุณมากครับ...