จริงอยู่เราจำเป็นต้องหาเงินเพื่อนำมาใช้ในระบบชีวิตประจำวันตามระบบสังคมปัจจุบัน ที่กำหนดเส้นทางเดินเอาไว้ประมาณนั้น ถ้าใครปฏิเสธ ก็คงทำได้ แต่ต้องแยกตัว หรืออย่างน้อยก็แยกระบบคิดของตัวเองออกจากระบบปกติของสังคม
ดังนั้นเราจึงมักเริ่มชีวิต “การทำงาน” ด้วยการทำเพื่อหาเงิน เพื่อนำมาใช้ในการยังชีพ แต่ถ้าใครทำอยู่แค่ระดับ “เงิน” กลับทำให้คุณค่าของชีวิตลดลง แบบเป็นเงาตามตัว
แต่ถ้าเมื่อได้เงินพอสมควรแล้ว ก็กลับไปเน้นการสร้างผลงาน กลับจะได้รับการยกย่องมากกว่า ดังนั้น สมการที่หลายคนใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันว่า ทำงาน=หาเงิน และงานดี=เงินดี นั้น จะได้รับการยกย่องแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น ลึกๆแล้วคนจะเริ่มคิดดูถูกทันที ว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไรผมมีเพื่อนต่างชาติหลายคน ที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อเงิน จนอายุมากๆ ตอนนี้มีเงินมากพอสมควร กลับนึกไม่ออกว่าจะเอาเงินมากๆไปทำอะไร และโดยเฉพาะคนที่มาอยู่ในเมืองไทยนั้น ยิ่งมีโอกาสใช้เงินน้อย ก็เลยหาทางใช้เงินมากๆด้วยการใช้ชีวิตกับหญิงสาวไทย ที่มีวิธีการใช้เงินมากพอสมควร
จนทำให้เพื่อนเหล่านั้นมีทางใช้เงิน
เพราะโดยลำพังตนเองไม่รู้จะใช้ทำอะไรมากนัก
นี่ก็เป็นตัวอย่างการหาเงิน แต่ไม่ค่อยมีโอกาสใช้เงิน ต้องหาคนช่วยใช้
แล้วเขาหาเงินไว้ทำอะไรกัน เขาตอบกันว่าเป็น Security ของชีวิตของเขา ก็คงจะจริง
แสดงว่า ชีวิตเขาเกิดมาเพื่อหาเงินและใช้เงินเท่านั้นหรือ
แต่เขาก็มีส่วนที่คุยด้วยความภูมิใจในบางเรื่องที่เขาทำงาน
นี่ก็อาจแสดงว่า สิ่งที่เขาภูมิใจกลับไม่ใช่เงิน กลับเป็นผลงานที่เขาได้ทำไว้มากกว่า
ฉะนั้น ผมเลยมาคิดว่าชีวิตนี้ เราน่าจะทำงานให้มากแบบไม่มีวันพอ และจะหาเงินเพียงความจำเป็นขั้นต่ำของระบบชีวิต ที่เหลือก็ทำบุญทำทานไปตามสมควร ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมเพราะ งานที่ทำจะยั่งยืนกว่าเงินที่หามาได้
ตอนนี้ก็ลองใช้หลักการนี้ เลยลุยเรื่องงานเป็นหลักครับ อะไรจะได้งานทำทั้งนั้น ในทุกระดับ แต่ไม่เน้นการหาเงิน เพราะเงินเดือนที่ได้ (และบำนาญในอนาคต)ก็พอเพียงที่จะประคองตัวอยู่ได้แล้ว
โดยเฉพาะงานที่ทำกับชุมชนมักไม่ค่อยได้เงิน และส่วนใหญ่เราจะต้องจ่ายมากกว่าได้รับอยู่แล้ว แต่ก็ได้กำไรอยู่ที่งานครับ
ฉะนั้น ในระยะเริ่มต้น ทุกคนก็ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน เพราะคนที่ยังยืนไม่ได้ ไม่มีวันช่วยใครได้ มีแต่จะพาคนอื่นล้มตามไปด้วย อันนี้พบมามากในทุกระดับตั้งแต่หยาบๆ จนถึงละเอียดเลยครับ
ลองคิดดูนะครับว่าเท็จจริงเป็นอย่างไรขอบคุณครับอาจารย์
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าผมคิดเห็นและเป็นเช่นเดียวกัน
ด้วยความเคารพ
อุทัย อันพิมพ์
คุณอุทัยครับ คุณพูดแต่เรื่องเงิน ยังไม่พูดเรื่องงานเลย ประเด็นหลักที่ผมต้องการชี้ก็คือ การทำงาน นั้นต้องได้งาน บางที่เราได้เงิน ไม่ได้งาน
บางทีได้เงินแต่ไม่ได้งาน
และบางทีก็ไม่ได้ทั้งสองอย่าง
อย่างที่ผมดูแลนักศึกษามหาชีวาลัยนี้ ผมไม่ได้ทั้งาน และทั้งเงิน
ผมไม่สนใจเงิน แต่งานผมก็ไม่ได้ แล้วผมจะทำไปทำไมครับ
งานนี้ คือการสอนให้นักศึกษารู้วิธีการทำงานวิจัยแบบ KM แต่ยังไม่ได้สักแอะเลยครับ
ทำไงดีครับ ผมมีเวลาน้อย และประสิทธิภาพการใช้เวลาให้ได้งาน ก็ต่ำมากๆเลยครับ
everything is subjective i think just like the way Sophists had thought before
ผมก็พยายามจะให้คนทำอะไรชัดๆ ตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงเท่านั้นครับ
เพราะบางทีเราวิ่งอ้อมไปมาจนเหนื่อย และบางคนท้ออีกต่างหาก ไม่น่าเลยครับ
โดยเฉพาะการทำงาน ที่ไม่ใช่การหาเงิน น่าจะมีแต่ข้อดีครับ
จะผสมผสานก็ตามความจำเป็นครับ แต่อย่าสับสนครับ