เช้าวันที่ ๓ ก.พ. ๕๐ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น พาดหัวข่าวว่านักฟุตบอลสิงคโปร์ที่ยิงลูกโทษเข้าประตูทีมไทย ให้สัมภาษณ์ว่า พอกรรมการวิ่งเข้ามาก็ใจหาย คิดว่าตนจะโดนใบเหลือง และไม่คิดว่ากรรมการจะตัดสินให้ทีมสิงคโปร์ได้เตะลูกโทษ
ทำให้ผมนึกถึงสมัยเด็กๆ อายุสัก ๑๐ - ๑๔ ขวบ ผมเป็นกองเชียร์ฟุตบอลของโรงเรียน ชุมพร "ศรียาภัย" เชียร์กันสุดใจขาดดิ้น โดยเฉพาะเมื่อแข่งกับคู่อาฆาต คือโรงเรียน หลังสวน "สวนศรีวิทยา" สมัยนั้นชื่อโรงเรียนเขาเขียนกันอย่างที่ผมเขียนนี่ แต่เวลานี้เปลี่ยนไปแล้ว และสมัยนั้นในจังหวัดชุมพร อำเภอที่ใหญ่ที่สุดคืออำเภอเมือง รองลงไปคืออำเภอหลังสวน โรงเรียนชายที่ใหญ่ที่สุดจึงได้แก่โรงเรียนประจำจังหวัด คือ โรงเรียน ชุมพร "ศรียาภัย" รองลงไปย่อมได้แก่โรงเรียนประจำอำเภอที่ใหญ่รองลงมาคือ โรงเรียน หลังสวน "สวนศรีวิทยา" ดังนั้น ทีมฟุตบอล ก็ย่อมมีฝีเท้าเด่นตามไปด้วย
ผมเล่นกีฬาอะไรไม่เป็นสักอย่าง และเวลาเรียนชั่วโมงพละ ผมก็จะเป็นตัวตลกของเพื่อนๆ แต่เวลาเชียร์กีฬานี่ผมไม่เบาเลย ฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศทีไรกลับบ้านเสียงแหบเพราะร้องเพลงและตะโกนเชียร์
มีอยู่หลายครั้ง ที่ดาราฟุตบอลรุ่นพี่ หรือรุ่นเพื่อน ได้เตะลูกโทษ แต่เขาเห็นว่าทีมฝ่ายคู่แข่งเขาไม่ได้จงใจแกล้ง เป็นการทำผิดโดยไม่จงใจ ก็แสดงน้ำใจให้อภัย โดยการแตะออกไปนอกขอบประตูอย่างจงใจ คือเตะไม่แรง และให้ออกห่างประตูออกไปมากๆ เป็นการทำตามคติในเพลงกราวกีฬา "รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย" พวกเรากองเชียร์ก็จะตบมือและตะโกนแสดงความชื่นชมดาราผู้แสดงน้ำใจผู้นั้น รวมทั้งฝ่ายคู่แข่งก็จะตบมือให้ด้วย
ทำให้ผมเกิดความสงสัย ว่าทำไมนักเตะสิงคโปร์จึงไม่ทำอย่างดาราฟุตบอลนักเรียนที่จังหวัดชุมพรเขาปฏิบัติกันเมื่อกว่า ๕๐ ปีที่แล้ว ผมเดาว่า ถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาคงจะถูกโค้ช ผู้จัดการทีม เพื่อนร่วมทีม และคนสิงคโปร์ก่นด่า และอาจถูกให้ออกจากทีมชาติไปเลย แสดงว่าจิตใจของคนสมัยนี้เน้นที่ชัยชนะ โดยไม่สนใจเรื่องการแสดงน้ำใจ และสภาพจิตใจคนแนวนี้คงจะไม่ใช่จำเพาะเฉพาะคนสิงคโปร์ คนไทยก็คงเหมือนกัน และคนชาติอื่นๆ ในโลกก็คงจะเหมือนกัน
เวลาผ่านไป ๕๐ ปี โลกเจริญขึ้นในทางวัตถุ แต่เลวลงในด้านน้ำใจ อารยธรรมด้านวัตถุของมนุษย์ก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ แต่อารยธรรมด้านน้ำใจ ด้านจิตใจ กลับเหือดแห้งไป
ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถเจริญขึ้นได้ทั้งทางวัตถุ และทางจิตใจ
วิจารณ์ พานิช
๓ ก.พ. ๕๐