ในช่วงที่เป็นอาจารย์คณะทันตแพทย์มา ได้เห็นกรณีที่นักศึกษาบางคนเพิ่งค้นพบว่าตนเองอาจไม่เหมาะกับการเป็นทันตแพทย์ แต่กว่าจะรู้ก็เรียนมาหลายปีแล้ว ส่วนฝ่ายผู้ปกครองก็มักจะรับความจริงไม่ได้ และยืนยันที่จะให้บุตรหลานศึกษาต่อจนจบ ทำให้นักศึกษาตกอยู่ในฐานะลำบาก ต้องทนเรียนต่อไปอย่างไม่มีความสุข บางคนถึงกับมีปัญหาทางจิตตามมา
ปัญหาเช่นนี้มีทางออกอย่างไรบ้าง
ขอให้เจ้าของคำถามและผู้เข้ามาอ่านบล็อกช่วยอีเมล์ถึงอาจารย์อ๊อดด้วยครับว่าได้รับประโยชน์จากคำแนะนำของเราหรือไม่ อย่างไร เพื่อเราจะได้นำไปปรับปรุง จะขอบคุณมาก
การที่ศิษย์บอกว่า ตนเองไม่เหมาะสมกับการเรียนทันตแพทย์นั้น เป็นการประเมินที่รอบคอบดีแล้วหรือยัง คงเป็นสิ่งแรกที่จะต้องคำนึงถึงก่อนที่อาจารย์จะให้คำแนะนำใดๆ
หากข้อสรุปดังกล่าวเกิดจากการมองตนเอง ร่วมกับการให้ผู้รู้ ผู้มีปัญญาช่วยมองด้วย แล้วให้ผลตรงกัน ก็อาจจะถือได้ว่าศิษย์อาจไม่เหมาะจริงๆ ในการเรียนสาขาวิชาชีพนี้
แต่ถ้าเป็นเพียงแต่ตัวเราเท่านั้นที่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับการเรียนทันตแพทย์ ก็ขอให้อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุป เพราะหลายครั้งที่เรามักมองห็นบางจุดบางมุมในตัวของเราเองไม่แจ่มชัดเท่าคนอื่น
ส่วนประเด็นเรื่องมีหรือไม่มีความสามารถนั้น ผู้รู้หลายท่านได้ให้ข้อคิดไปแล้วในบันทึกเรื่อง "ทำไมผมถึงเรียนเก่งน้อยลง" ว่า คนเราทุกคนมีความถนัดและมีความสามารถในแต่ละด้านไม่เท่ากัน การที่เราไม่สามารถเรียนทันตแพทย์จึงไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถทำหรือเรียนวิชาอื่นๆ โลกนี้จึงยังมีความงดงามตรงที่มนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัด
คนที่โชคดีก็คือคนที่ได้เรียนในสิ่งที่ตนเองถนัด ได้ทำงานในสาขาที่ตนถนัด และใช้ความรู้ในสิ่งที่ตัวถนัดให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่น ไม่ใช่คนที่ได้เรียน "ทันตแพทย์" หรือ "แพทย์"
นักศึกษาที่ไม่สามารถเรียนทันตแพทย์ต่อได้นั้น มักมีอยู่ 2 แบบคือ แบบที่ไม่พยายามจริง กับแบบที่พยายามอย่างที่สุดแล้ว แบบแรกเป็นกลุ่มที่สามารถเปลี่ยนใจและเปลี่ยนทัศนคติได้ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับเหตุผลเบื้องหลัง
อยากจะบอกกับผู้ปกครองที่ตั้งความหวังไว้อย่างหมายมั่นว่า ลูกจะต้องเรียนจบทันตแพทย์ให้ได้ตามที่ฝันเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยความคิดที่ว่า วิชาชีพนี้จะสร้างความมั่นคงให้กับลูก วิชาชีพนี้เป็นที่พึ่งให้กับครอบครัวได้ หรือแม้แต่จะทำให้เพื่อนบ้านให้ความเกรงใจ ยกย่อง เป็นต้น ว่าเหตุผลทั้งหมดนั้นเหนือกว่าการที่จะได้เห็นลูกมีความสุข มีความภาคภูมิในตัวเองและพร้อมที่จะเผชิญกับชีวิตในอนาคตอย่างมั่นใจ และการเห็นเขาได้แสดงความสามารถในสิ่งที่เขารักและถนัดแล้วหรือ?
ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะบังคับหรือพูดจาตัดพ้อต่อลูก ท่านควรที่จะแน่ใจก่อนว่า เหตุใดที่ลูกไม่สามารถเรียนทันตแพทย์ต่อ แล้วลองทบทวนให้ดีว่าธรรมชาติของลูกของท่านนั้นเหมาะกับวิชาชีพนี้จริงหรือไม่ อย่าเพียงไปยึดอยู่กับความฝันเดิมๆ เมื่อลูกของท่านสอบเข้าได้ในปีที่หนึ่ง เรามีตัวอย่างของบัณฑิตที่จบออกไปแล้วไม่ประกอบวิชาชีพทันตแพทย์จำนวนมาก ลองคิดดูว่าโอกาสที่เขาเสียไปนั้นมีมากเพียงใด หากท่านฝืนหัวใจที่แท้จริงของเขา
ถ้าหากท่านมั่นใจแล้วว่าลูกจะสามารถเรียนต่อในสาขานี้ได้จนถึงฝั่ง สิ่งที่ท่านควรทำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่การดุด่า ถากถาง ตัดพ้อ แต่ควรที่จะ "ให้กำลังใจ" และ "ให้ความรัก" เขาให้มากขึ้นๆๆ สิ่งนี้ต่างหาก ที่จะเป็นพลังให้ลูกของท่านเดินทางไปสู่จุดหมายได้
ขอร่วมแสดงความคิดเห็นนะคะ
ด้วยความที่มีเพื่อนร่วมเรียนทันตะชั้นปีเดียวกัน(หลายคนอยู่ก็จริง...แต่จะยกตัวอย่าง)2 คน ที่อยากจะลองเล่าให้ฟัง เผื่อว่าน้องคนที่ถามคำถามจะมองเห็นมุมที่ตัวคนเขียนเองก็เคยลองๆคิดดูตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่ แล้วค่อยคิดได้กว้างขึ้น(นิ๊ดนึง)หลังจากจบมาแล้วหลายปี
เพื่อนคนแรก โดยส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นคนที่นิสัยดี(เลขที่ติดกันเพราะงั้นเลยคุยกันบ่อย) เข้ากับคนอื่นง่าย เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ ไม่สามารถเรียนได้จนจบจากคณะ ทั้งๆที่ก็พยายามแล้ว กว่า6 ปี เพื่อนๆในชั้นปีก็รัก และเสียดายที่เพื่อนคนนี้ไม่สามารถจบร่วมกับเราได้ แต่ทุกวันนี้ เพื่อนคนนี้ ก็ยังเป็นเพื่อนที่แสนดีของชั้นปี เป็นลูกที่น่ารักของคุณแม่คุณพ่อ เป็นพี่สาวที่คอยดูแลน้องๆ และที่สำคัญ เป็นคนที่เอื้อเฟื้อช่วยเหลือสังคม และสถานสงเคราะห์ต่างๆ อยู่เสมอๆ (บ่อยกว่าตัวคนแสดงความคิดเห็นซะอีก ^-^;;) ถามว่าเพื่อนคนนี้ ไร้ความสามารถรึปล่าว...... (อย่างน้อย)คงไม่มีเพื่อนในชั้นปีคนไหนพูดอย่างนั้น
คนที่2 เป็นเพื่อน ที่นิสัยดีพอกัน แต่เป็นคนที่โดยส่วนตัวแล้ว(ให้พูดจริงๆ)ก็กลัวว่า เมื่อเค้าพลาดตกซ้ำชั้นไป... แล้วเค้าจะพ้นรั้วมหาลัยด้วยปริญญารึปล่าว... ท้ายที่สุด 12ปีหลังจากที่เราเป็น freshy เพื่อนคนนี้ ก็นำความภาคภูมิใจมาสู่ตัวเค้าเอง สู่ญาติสนิท เพื่อนฝูง คณาจารย์ และคนที่ได้ยินเรื่องราวของเค้า ความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นนี้พอจะบอกได้มั๊ยค่ะว่ามันก็มีค่าสำหรับทั้งตัวเอง และคนอื่นรอบข้าง ที่ก็หวังอยากให้คนคนนึงที่มีความพยายาม ได้บางสิ่งบางอย่างกลับคืนไป......
สำคัญมากก็คือ การตอบคำถามของตัวเองให้ได้ว่า อะไร คือ สิ่งที่เราต้องการ และอย่างน้อย อะไรคือ สิ่งที่เราพอจะทำให้คนที่เค้าเฝ้าหวังกับเราตอบแทนคืนได้บ้าง ไม่มีใครที่ไร้ค่า หรือไร้สามารถในทุกๆอย่างหรอกนะคะ
อาจารย์อยากจะฝากข้อคิดอีกมุมหนึ่งดังนี้
เมื่อมาถึงจุดที่ศิษย์จะต้องตัดสินใจว่าจะเลือก และในใจกำลังสับสนว่า เราน่าจะเหมาะกับการเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ทันตแพทย์ หรือไม่ ขอให้ศิษย์ลองพิจารณาให้ดีๆ ว่า
หนึ่ง...หากเราไม่เหมาะกับวิชาชีพนี้จริงๆ เราควรจะตัดสินใจให้เด็ดขาดได้หรือยังว่า อย่าเสียเวลาต่อไปอีกเลย แล้วรีบออกไปทำสิ่งที่เราถนัดและชอบดีกว่า แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องมั่นใจว่าสาเหตุที่เราไม่ชอบการเป็นทันตแพทย์นั้น ไม่ใช่เพราะเราไม่ขยัน เราไม่อดทน เพราะถ้าเป็นเพราะสาเหตุทั้งสองนี้ วิชาชีพอื่นก็อาจไม่ต้อนรับเราด้วยเหมือนกัน
สอง...หากเราไม่เหมาะกับวิชาชีพนี้จริงๆ แต่เราคิดว่า ที่ผ่านมาเราได้เสียเวลาทุ่มเทให้กับการเรียนทันตแพทย์มานาน และเหลือเวลาอีกไม่เท่าไรก็จะถึงเส้นชัยแล้ว จะดีหรือไม่หากเราอดทนอีกสักนิด และเมื่อเราสำเร็จการศึกษาแล้ว จึงค่อยไปตามหาความฝันของเรา อย่างน้อยเราก็มีฐานวิชาชีพที่มั่นคงที่สามารถสนับสนุนฝันนั้น
แน่นอนว่า การตัดสินเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องเผชิญความขัดแย้งไม่ว่ากับตัวศิษย์เองหรือกับคนอื่นๆ ที่คาดหวังในตัวศิษย์
คงไม่มีใครเลือกทางให้ศิษย์ได้นอกจากตัวศิษย์เอง แต่เมื่อศิษย์ตัดสินใจแล้ว อาจารย์มีหน้าที่ที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนการตัดสินใจนั้นเสมอ
พี่ก็เคยเป็นคนนึงที่คิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถและอาจไม่สามารถเรียนจบทันตแพทย์ได้ พี่เริ่มชีวิตการเรียนทันตแพทย์อย่างภาคภูมิใจด้วยระบบการ Entrance พี่ทุ่มเทบากบั่นพากเพียรเพื่อต้องการเข้าเรียนในคณะแพทย์หรือทันตแพทย์เท่านั้น และความพากเพียรก็ทำให้สมหวังที่สอบเข้าได้คณะทันตแพทยศาสตร์ ขอนแก่น การเรียนในปีแรกดูไม่มีปัญหาอะไรเนื่องจากเป็น lecture เสียส่วนใหญ่ การเรียนทันตแพทย์สำหรับพี่เริ่มวิกฤตเมื่อเริ่มเรียน Lab เนื่องจากการเรียนทันตแพทย์ต้องใช้ศิลปะอย่างมากในการเรียน แต่พี่ไม่มีความสามารถทางศิลปะเลยสักอย่างและไม่ชอบด้วย และพี่ลืมคิดว่ามันเป็นจุดที่ทำให้ชีวิตการเรียนไม่มีความสุขอีกต่อไป เมื่อเราเรียนอะไรที่เราไม่มีความชอบการจะทำให้สิ่งนั้นให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้แต่ต้องอดทน+บากบั่นอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้มันหมดแล้วซึ่งความพยายามคือกำลังใจที่มอดไหม้ไปของเราต่างหาก เมื่อการเรียนในระดับปริญญาเราก็ไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไปในสายตาของอาจารย์ และเมื่อเรายิ่งทำให้อาจารย์มองเราว่าเป็นเด็กที่มีปัญหาโอกาสสำหรับเราก็จะยิ่งหมดไป พี่เปอร์ตั้งแต่อยู่ปี2 ระยะทางดูยาวไกลเหลือเกินสำหรับพี่ พี่เรียนซ้ำมากมายในหลายวิชา ตั้งแต่ Oper lab,Pros lab ตามด้วย Oper Clinic+Pros clinic ปัญหาของพี่คือพี่ไม่ชอบและหมดแล้วซึ่งกำลังใจ แต่พี่ก็อดทนทุกคำที่อาจารย์ว่าเรา พี่ยอมรับและไม่เคยโต้แย้ง แม้พี่จะรู้สึกเสียใจมากกับคำพูดของอาจารย์ พี่อดทนและพ้นจากคณะไปได้เมื่อเวลาผ่านไป 9 ปี ระหว่างเส้นทางอันโหดร้ายและมืดมิดมีอาจารย์หลายท่านที่เป็นเหมือนตะเกียงนำทางให้ (อาจารย์นำชัย ,อาจารย์สุวิมล,อาจารย์จินดา, อาจารย์ดวงพร)เมื่อเราท้อเราทำไม่ได้ เราจะไม่มั่นใจ เมื่อเราไม่มั่นใจเราจะไม่กล้าที่จะทำ เมื่อเราไม่ทำเราจะตก เมื่อเราตกเราจะดูแปลก เมื่อเราแปลกเราจะกลายเป็นคนไร้ความสามารถ ซึ่งอาจเกิดจากมันถูกตอกย้ำลงในความคิดของเราทีละน้อยๆจากที่เราคิดดูถูกตัวเองหรือจากที่อาจารย์ช่วยตอกย้ำให้เราต้องกลายเป็นอย่างนั้นกันแน่ เมื่อพี่จบพี่เริ่มทำงานเป็นอาจารย์ที่วสส.แห่งหนึ่ง มีนักเรียนที่เป็นอย่างพี่เยอะแยะ พี่อาจไม่เก่งแต่พี่เข้าใจเค้าและพีไม่ทำลายกำลังใจของเค้า โดยส่วนตัวพี่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะทำอะไรๆ ให้เกิดขึ้นได้แต่การเรียนรู้อาจช้าเร็วต่างกันไปและต้องให้โอกาส ยิ่งถ้าเค้าเป็นคนดี เขาจะสามารถทำสิ่งดีๆกลับคืนให้สังคมได้มากมาย ทุกวันนี้พี่ลาออกแล้ว อาชีพที่พี่ชอบที่สุดพี่พูดได้เต็มปากเลยว่า ทันตแพทย์ งานที่พี่คิดว่าพี่ทำได้ดีที่สุดคือ Oper+Pros แปลกไม๊ พี่ใช้เวลาเกือบ 10 ปีในการค้นหาว่าอาชีพทันตแพทย์นี้เหมาะกับพี่ไม๊ และพี่เคยคิดว่าระยะเวลา 12 ปีพี่อาจเรียนไม่จบ ตอนนี้พี่จบมา 6 ปีกว่าแล้วพี่ดีใจทีเมื่อเราจบมาเราอยู่ในสังคมในฐานะเป็นผู้ให้ได้ ฝากให้น้องลองไปคิดดูเราท้อแค่นั้นรึเปล่า และอย่าดูถูกตัวเองว่าไร้ความสามารถ กำลังใจใครเท่าไหร่ให้ก็ไม่ก่อให้เกิดพลังเท่ากำลังใจจากตัวเราเองหรอก พี่ว่ามีแต่คนขี้กลัวอย่างพี่จึงต้องตกอยู่ในวังวนที่ยาวนาน และพี่ว่าเมื่อน้องคิดจะทำน้องจะทำได้ พี่จะเป็นกำลังใจให้นะ
อ่านความเห็น5แล้วน้ำตาไหลเลย
ในฐานะที่เป็นแม่ ถ้ามีลูกเรียนทันตแพทย์และมีปัญหานี้อยู่ก็อยากให้อ่านความเห็นที่ 1 4 และ 5 ก่อน และอยากเพิ่มเติมในส่วนของความเป็นแม่ว่า ไม่ว่าลูกตัดสินใจอย่างไร พ่อและแม่ต้องยอมรับได้แน่นอน คงไม่มีพ่อแม่คนไหนที่เห็นแก่ตัวอยากเห็นลูกต้องทนทุกข์ไปตลอดชีวิตกับสิ่งที่ไม่ชอบ เพราะกว่าจะสอบเรียนทันตแพทย์ได้ ลูกต้องได้พยายามและทำดีที่สุดแล้วจนเครียดและเกิดอาการทางจิต ซึ่งปัจจัยเครียดคงมาจากหลายสาเหตุ การที่ลูกตัดสินใจอยากหยุด เป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนเช้าใจ อาจารย์ที่ปรึกษาน่าจะเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงระหว่าง นศ.กับผู้ปกครองให้เข้าใจปัญหา เพราะถึงแม้นศ.จะพยายามเรียนจนจบ เพื่อตามใจพ่อแม่แต่ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อสภาพจิตใจถาวร และเมื่อมาทำงาน จะไม่สามารถทำงานได้ดี ซึ่งการเป็นทันตแพทย์ย่อมมีความเสี่ยงแน่นอนเพราะต้องลงมือทำงานกับชีวิตคน อาจเกิดผลเสียหายใหญ่หลวงได้ ที่สำคัญถ้าผู้ปกครองไม่ยอมรับดึงดันให้ นศ.เรียนต่ออาจมีผลต่อสภาพจิตใจจนไม่สามารถเรียนสำเร็จ
อาจจะมีคำตอบอยู่บันทึก ครูคือ นัก "เจียระไน" มิใช่ "ตุลาการ" ... (ว.วชิรเมธี) ;) ... คำตรัสของพระพุทธองค์
หนูเป็นคนนึงที่อยากเข้าคณะทันตแพทย์คะ ตอนนี้ อยู่ม.6 แล้ว แต่หนูเป็นคนเรียนไม่เก่ง ระดับปานกลางคะ เคยเปิดไปดูคลิปการผ่าฟันคุดแล้วน่ากลัวมาก รู้สึกท้อคะว่าสิ่งที่ฝันไว้มันอาจมาไม่ถึงทำไมมันยากแบบนี้ แต่ขอขอบคุณความคิดเห็นของพี่คนที่ 5 มากนะคะที่ทำให้มีกำลังมากขึ้นขอบคุณมากคะ สุดท้ายหนูอยากถามว่าหนูพอจะมีหวังเรียนคณะนี้มั๊ยคะ?
เรียนทันตเเพทย์ ต่าง กะ ทันตสาธารณสุข มั๊ยค่ะ เเล้ว ถ้าจบ ทันตสาธารณสุข เเล้ว จะไปต่อที่ไหน ได้บ้าง ค่ะ
หนูกำลังประสบกับปัญหานี้ หนูเรียนทันตแพทย์ตอนนี้กำลังขึ้นปี4 ซึ่งตามจริงต้องขึ้นปี6 หนูชอบวิชาเลปทุกวิชาแต่ปัญหาคือหนูทำข้อสอบlacture ไม่ได้ ซึ่งหนูได้พยามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ละครั้งของการสอบหนูจะต้องอ่าน3-4รอบ แต่สุดท้ายไม่D ก็F พ่อแม่หนูรู้เรื่องนี้ทุกอย่างและให้กำลังใจตลอดไม่เคย่าไม่เคยว่าไม่เคยกดดันหนู หนูอยากจบจากคณะนี้จริงๆ อยากเป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อกับแม่ พออ่านข้อความในนี้แล้วหนูก็มีกำลังใจ แต่ก็ยังกลัวกลัวการตกอีก กลัวเรียนไม่จบ กลัวเป็นคนไร้ความสามารถ