หน้าแรก
สมาชิก
ธเนศ ขำเกิด
สมุด
ธเนศ ขำเกิด
แม่แบบ (โลกในใจขอ...
ธเนศ ขำเกิด
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
แม่แบบ (โลกในใจของบุญถึง ตอนที่ 4)
เมื่อใดก็ตามที่ผมมีโอกาสได้แสดงความสามารถด้านวรรณคดี และบทประพันธ์ต่าง ๆ ผมจะนึกถึงพ่อเสมอ และยามใดที่ผมเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ต่องานในหน้าที่ผมจะนึกถึงคุณครูอรุณี เพื่อเพิ่มพลังและปลุกจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบให้กลับคืนมา
สมัยผมเป็นเด็กอายุประมาณ 10
- 11
ปี ผมจำได้ว่าที่บ้านผม พอแดดร่มลมตก กินข้าวมื้อเย็นเสร็จ ทุกคนในบ้านชอบมานั่งล้อมวงรับลมที่นอกชาน พูดคุยกันจนสามทุ่ม น้ำค้างเริ่มลง จึงแยกย้ายกันเข้านอน บ่อยครั้งที่ผมและน้องสาวฟังผู้ใหญ่คุยจนผลอยหลับไปต้องถูกแม่ปลุกและพาไปนอน
วันไหนที่พ่อไม่เมาเหล้า พวกเราจะตาสว่างเพราะ
พ่อมีนิทาน วรรณคดี
หรือเล่าเรื่องผีให้พวกเราฟังเสมอ
โดย
พวกเราต้องบีบนวดเป็นการตอบแทน
พ่อชอบนุ่งกางเกงขาก๊วยไม่สวมเสื้อปล่อยชายขอบเอวหลวม ๆ
จนเห็นพุงกระเพื่อม พ่อมักจะอยู่ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหมอนเหยียดขาให้พวกเราบีบนวดกันคนละข้าง
พ่อมีเรื่องผีเล่าให้พวกเราฟังหลายเรื่อง เช่น ผีที่วัดมะขามเฒ่า ผีโป่ง ผีกระสือ ผีที่ป่าช้าในหมู่บ้าน ฯลฯ พ่อมีท่วงทำนองการเล่าประกอบท่าทางที่ชวนขนลุก
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
แต่พวกเราก็เชื่อสนิท กลัวก็กลัวแต่ก็อยากฟัง พี่บุญแถมอีกคน รู้ว่าน้อง ๆ กลัวผี ชอบย่องลงไปใต้ถุนนอกชาน ระหว่างที่พ่อกำลังเล่าอย่างออกรสชาติ
ก็จะเอาไม้แหย่ขาพวกเราจนร้องลั่น
พวกเราจึงระมัดระวังไม่ยอมนั่งตรงร่องไม้กระดาน
พ่อเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓
แต่มีวรรณคดีหรือนิทานพื้นบ้านเรื่องต่าง ๆ มาเล่าให้พวกเราฟังหลายเรื่อง
เช่น รามเกียรติ์
ขุนช้าง
-
ขุนแผน
พระอภัยมณี
ลักษณะวงศ์
พระสุธน
-
มโนราห์ ฯลฯ
โดยเฉพาะเรื่องรามเกียรติ์
พ่อเล่าเป็นฉาก ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
ผมสนุกตื่นเต้นที่สุด เคยฝันว่าตัวเองเป็นหนุมาน และชอบกระโดดโลดเต้น ล้อเลียนเพื่อน ๆ เหมือนกับเด็ก ๆ ปัจจุบันที่ชอบรำกระบี่ตามหนังจีนในทีวี
คืนไหนที่พ่อเมาเหล้าพวกเราจะรู้สึกผิดหวังเพราะต้องอดฟังเรื่องรามเกียรติ์
ก็คงเหมือนพวกที่ติดละครวิทยุหรือละครทีวีแล้วไม่ได้ดูนั่นแหละ
เวลามีโขนงานศพหรืองานวัดในหมู่บ้านโคกหัวนา
ผมจะไปแต่หัวค่ำ ขึ้นไปจองที่นั่งบนเวทีติดกับวงปี่พาทย์ลาดตะโพน ถ้าถูกไล่ลงมา ก็จะนั่งแถวหน้าสุด
สมบุญกับทองย้อย
จะเป็นเพื่อนคู่หูดูโขนทุกครั้ง
ผมดูไปก็เล่าเรื่องที่โขนแสดงให้สมบุญกับทองย้อยฟังล่วงหน้า
จนทองย้อยแปลกใจว่าผมรู้เรื่องล่วงหน้าได้อย่างไร แต่ก็มักจะถูกสมบุญเอ็ดเอาที่ทำให้เขาเสียสมาธิในการดูโขน
เรื่อง
พระสุธน
-
มโนราห์
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมประทับใจมาก เวลาพ่อเล่าผมน้ำตาซึมสงสารพระสุธนและนางมโนราห์ที่ต้องพลัดพรากจากกัน พ่อเล่าเป็นกลอนให้เราฟังประกอบในบางตอน เช่น ตอนที่พระสุธนตามนางมโนราห์อาศัยแทรกไปกับขนนกยักษ์ พาบินไปบนท้องฟ้าเวลากลางคืน
ผมยังจำบทกลอนที่พ่อท่องให้ฟังได้จนถึงทุกวันนี้
“...
ดาวช้างดาวม้า
ดาวกา
ดาวหมี
ทั้งดาวหามผี
หริบหรี่เข้ามา
ดาวหมูดาวช้าง
ขึ้นกลางนภา
ดาวลูกไก่รายเรียง
ขึ้นเคียงดาวม้า
...”
เวลาผมมาเรียนหนังสือที่โรงเรียน ผมชอบยืมหนังสือวรรณคดีหรือนิทานพื้นบ้านเรื่องที่พ่อเล่ามาอ่านต่อจนจบทุกเรื่องและจำขึ้นใจจนทุกวันนี้
นี่น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมได้คะแนนวิชาภาษาไทยสูงมาโดยตลอด
ผมภูมิใจและศรัทธาในความสามารถของพ่อผมหลายเรื่อง พ่อเป็นคนชอบอ่าน ช่างจดจำและมีศิลปะการถ่ายทอดที่ยอดเยี่ยม
พ่อบอกว่าพ่ออ่านวรรณคดีต่าง ๆ ตอนบวชเป็นพระ อ่านทั้งภาษาบาลี และวรรณคดีนอกจากนี้ พ่อยังมีความรู้ทาง
โหราศาสตร์
อีกด้วย
คนในหมู่บ้านโคกหัวนา เวลามีเรื่องหรือจะมีงานอะไร มักจะมาหาพ่อให้ทำนายทายทักจับยามสามตา
หรือเสดาะเคราะห์ให้เสมอ อาศัยที่พ่อเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีจิตวิทยาสูง พยายามวิเคราะห์ตรวจทำนายทายทักให้ผู้คนที่มาหามีความสุขและพึงพอใจทุกคน
พ่อจึงได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้านอย่างกว้างขวางและมีคนมาหาพ่อไม้เว้นแต่ละวัน
ผมพยายามจดจำและลอกเลียนแบบการกระทำจากพ่อเกือบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องการดื่มเหล้า
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงไม่ลอกเลียนแบบในเรื่องนี้ด้วย อาจเป็นเพราะผมเห็นพ่อเวลาเมาเหล้า แล้วพาลหาเรื่องทะเลาะกับแม่เป็นประจำหรือร้องรำทำเพลง พูดจาอ้อแอ้ สำรอก อาเจียนอย่างไร้สติเป็นคนละคนกับพ่อที่ผมชื่นชม ศรัทธา กระมัง
...
ผมยังสงสัยจนทุกวันนี้ว่า
ทำไมผมจึงรู้จักเฟ้นจำแนกในการลอกเลียนแบบพ่อทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นผมเองก็ยังเป็นเด็ก
..
ชีวิตในโรงเรียนมัธยมศึกษา
ผมประทับใจ
คุณครูอรุณี
มากที่สุด เพราะท่านเป็นทั้งครูประจำชั้น และครูผู้สอนที่ให้ความรักความเป็นกันเอง ถามไถ่ดูแลทุกข์สุขของผมและเพื่อน ๆ ด้วยคำพูด
สายตา ท่าทาง และการปฏิบัติที่เอื้ออารีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
หยั่งถึงโลกในใจของนักเรียน จนผมไว้วางใจและกล้าที่จะเล่าความในใจให้ท่านฟัง
ผมตั้งใจเรียนและชอบเรียนวิชาที่คุณครูอรุณีสอน
อยากให้ถึงชั่วโมงของท่านซึ่งผมรู้สึกว่า เวลาเรียนแต่ละชั่วโมงหมดไปเร็วเหลือเกิน
ผมอยากให้มีชั่วโมงของคุณครูทุกวัน ผิดกับชั่วโมงของคุณครูอีกหลายท่านที่ผมรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะเรียนและเวลาแต่ละชั่วโมงของคุณครูเหล่านั้นช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า
คุณครูอรุณีสอนวิชาประวัติศาสตร์
ท่านมีเทคนิคการสอนที่ทำให้ผู้เรียนไม่เบื่อหน่าย มีกิจกรรมที่หลากหลายไม่ซ้ำกัน ให้พวกเราปฏิบัติ
อุปกรณ์ที่ท่านนำมาใช้ก็ไม่พิเศษพิสดารอะไร บางครั้งก็ใช้บัตรคำให้จับคู่ หรือให้เราแข่งขันกันจัดแผ่นไม้ฉลุประเทศต่าง ๆ ลงในทวีป หรือในตำแหน่งที่ถูกต้อง บางทีก็มีประเด็นให้เราไปศึกษาค้นคว้าเป็นกลุ่มบ้าง เป็นรายบุคคลบ้าง
เวลาสอนท่านจะถามและเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น
ด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้มแจ่มใสยกย่องชมเชยให้กำลังใจ
พากเราที่ตอบคำถาม
แม้คำตอบหรือข้อคิดเห็นของพวกเราบางครั้งจะไม่เข้าท่า แต่ท่านก็อดทนที่จะรับฟังพร้อมทั้งชมเชยความพยายามของเราแล้วก็เสริม แต่ท่านจะไม่ผูกขาดคำตอบว่าผิดหรือถูก
ทำให้พวกเรากล้าที่จะถามและแสดงความคิดเห็น
ถึงท่านจะใจดีแต่พวกเราก็ไม่กล้าล่วงเกินมีแต่ความเคารพยำเกรงในความเป็นครูที่นั่งในหัวใจของพวกเราเสมอ
ครั้งหนึ่งท่าน
สอนประวัติศาสตร์ตอนสมเด็นพระนเรศวรทรงพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง
กระสุนปืนถูกสุรกรรมา แม่ทัพพม่าเสียชีวิต ท่านก็ตั้งประเด็นให้พวกเราอภิปรายว่า
“
สมมุติว่า สมเด็จพระนเรศวรกับสุรกรรมาอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำสะโตง
แล้วสมเด็จพระนเรศวรเห็นช้างของสุกรรมาตัวเท่าหมู
นักเรียนคิดว่า แม่น้ำสะโตงจะกว้างเท่าไร
และพระแสงปืนต้นของสมเด็จพระนเรศวรจะมีลักษณะและคุณสมบัติอย่างไร
”
พวกเราก็อภิปรายและวิเคราะห์กันอย่างสนุกสนาน โดยนำความรู้จากวิชาต่าง ๆ ที่เรียนมาบูรณาการใช้ในการแก้ปัญหาอย่างกลมกลืน
เวลาสอนประวัติศาสตร์ ท่านมักจะให้พวกเราไปศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องราวจากหนังสือเรียน หรือหนังสือในห้องสมุดมาก่อน หรือบางครั้งท่านก็มีเกร็ดรายละเอียดที่สนุกเล่าให้พวกเราฟังแล้วท่านก็ตั้งคำถามนำให้พวกเราวิเคราะห์ บางทีก็เปลี่ยนเป็นกิจกรรมต่าง ๆ
เช่น
เกม เพลง บทบาทสมมุติ ฯลฯ สลับกันไปให้สอดคล้องกับเนื้อหาในหลักสูตร
ทำให้พวกเราไม่เบื่อ ท่านจะพยายามปลูกฝังให้พวกเรารักชาติ แต่ไม่เน้นการทำสงครามรบราฆ่าฟัน การเคียดแค้นชิงชังพม่าหรือเขมร
โดยท่านจะให้เราเข้าใจข้อมูลในสถานการณ์ของยุคนั้น ๆ แล้ววิเคราะห์ด้วยเหตุด้วยผลอย่างที่เขาเรียกกันว่า
“
ผู้มีจิตใจเป็นประชาคม
”
ผมรู้สึกทึ่งในความเป็นครูของท่านตลอดเวลา ขณะนั้นท่านคงอายุประมาร ๔๐ กว่า ๆ ท่านเรียนจบวิชาครูเพียงประกาศนียบัตรประโยคครูประถม ซึ่งโรงเรียนฝึกหัดครูตอนนั้นก็คงไม่เน้นวิธีสอนที่หลากหลายอย่างที่ท่านนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการสอนแบบบูรณาการ การสอนให้คิดวิเคราะห์ การให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม
การให้ปฏิบัติจริงตลอดจนการมีจิตใจที่เป็นประชาคม
ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ทันสมัยในการจัดการเรียนการสอนมาจนปัจจุบัน
จวบจนวันนี้
เมื่อใดก็ตามที่ผมมีโอกาสได้แสดงความสามารถด้านวรรณคดี และบทประพันธ์ต่าง ๆ ผมจะนึกถึงพ่อเสมอ
และยามใดที่ผมเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ต่องานในหน้าที่ผมจะนึกถึงคุณครูอรุณี เพื่อเพิ่มพลังและปลุกจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบให้กลับคืนมา
เพราะท่านทั้งสองเป็นแม่แบบที่หล่อหลอมกล่อมเกลาจิตและวิญญาณของผมโดยแท้
...
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ธเนศ ขำเกิด
ใน
ธเนศ ขำเกิด
คำสำคัญ (Tags):
#การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน
#คุณธรรมนำความรู้
#ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
#สาระน่ารู้
หมายเลขบันทึก: 79434
เขียนเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2007 12:48 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:28 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (2)
Ranee
เขียนเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2007 15:50 น. (
)
เรียนครูธเนศ
บ้านคุณครูดูมีความสุขมาก ๆ ค่ะยินดีด้วยค่ะที่มีเรื่องดี ๆ แบบนี้
พ่อ แม่ คือครูคนแรกของ เป็นแม่แบบของเรา เราจะเป็นอย่างไร ก็ต้องเรียนแบบจากแม่แบบที่ดี โชคดีของครูธเนศจริง ๆ
ครูที่ 2 เป็นแม่แบบที่ดี เมื่อเราเห็นความสำคัญของท่าน
ยอดคนจริงๆ เลยค่ะครูธเนศ ขอยกมือกราบเลยค่ะ
เกล้า
เขียนเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2008 20:53 น. (
)
สนุกดีค่ะ
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ธเนศ ขำเกิด
สมุด
ธเนศ ขำเกิด
แม่แบบ (โลกในใจขอ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท