สำหรับงบลงทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นกรมบัญชีกลางจะนำมาจากงบกลางที่ในงบประมาณปี 2550 นั้นกำหนดไว้ที่ 11,835 ล้านบาท อย่างไรก็ตามสำหรับโครงการหรืองานก่อสร้างใดที่คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์เดิม และได้ทำการประกาศราคา สอบราคา หรือประกาศร่างทีโออาร์แล้วก็ให้ใช้ราคาเดิมต่อไป อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการประกาศราคากลางใหม่นั้น มีส่วนราชการที่ประกาศทีโออาร์ตามราคากลางรูปแบบเดิมไปแล้วส่วนหนึ่งประมาณ 1 ใน 3 ของงลงทุนทั้งหมด ดังนั้นตนจึงเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวคงที่ไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลังนั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบต่องบลงทุนให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นนัก "สาเหตุที่ต้องปรับราคากลางขึ้นนั้นเนื่องมาจากเวลานี้ค่าแรง ค่าเครื่องจักรวัสดุและค่าน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่จะกระทบต่องบลงทุนด้านคมนาคมเท่านั้นสูงขึ้น ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรม กรมบัญชีกลางจึงมีการปรับสูตรการคำนวณราคากลางใหม่สูงกว่าเดิมประมาณ 3% ซึ่งหมายความว่า รัฐต้องจ่ายค่าก่อสร้างสูงขึ้นจากเดิม ภาคเอกชนก็ชอบใจกับมาตรการในครั้งนี้" นายมนัสกล่าว อย่างไรก็ดี มติ ครม. ได้กำหนดให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้แก่ส่วนราชการตามความจำเป็นต่อไป ซึ่งเวลานี้ยังไม่ได้คำนวณตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง
ทั้งนี้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง ได้จำแนกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ งานก่อสร้างอาคาร งานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม และงานก่อสร้างชลประทาน โดยราคากลางจะต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ 1.ค่างานต้นทุน คือ ปริมาณงาน วัสดุ แรงงานคูณด้วยราคาวัสดุก่อสร้าง ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน ค่าดำเนินงานและค่าเสื่อม 2.ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานก่อสร้าง หรือ Factor F ได้แก่ ค่าอำนวยการ ดอกเบี้ย กำไรและภาษี คูณด้วยค่างานต้นทุนของแต่ละโครงการ
แนวหน้า 17 ก.พ. 50
ไม่มีความเห็น