ปรากฎการณ์ "แขนขวานักกล้าม แขนซ้ายโปลิโอ"ระดับสังคม


ตอนเช้า ผมเข้าฟังบรรยายวิชาการเรื่องยาโรคติดเชื้อที่ออกมาใหม่ในแต่ละปี เห็นตัวเลขลดลงต่อเนื่อง หากแนวโน้มเป็นแบบนี้ต่อไป อีก 10-20 ปีข้างหน้า ตัวเลขยาปฏิชีวนะใหม่ ๆ คงลดเหลือศูนย์ หันไปทำยามะเร็งขายจะรวยกว่า เพราะมีบางประเทศที่ด้อยพัฒนาติดอันดับโลก เขาชอบเล่นสงกรานต์มะเร็งกัน (เช่น ปลูกผัก อัดสารเคมีเวลาขายคนอื่น แต่ปลูกกินเอง จะเป็นผักปลอดสารพิษ ซึ่งเรื่องทำนองนี้ ท่านดร.แสวง รวยสูงเนิน เขียนให้อ่านแล้วหนาวใจ)

ตอนกลางคืน ฟังเรื่องการ "หักดิบสิทธิบัตร" ของยา นั่นคือ รัฐใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร ซึ่งกฎหมายสิทธิบัตรก็เปิดช่อง ว่าทำได้ ถ้าเห็นเหมาะเห็นควร ฟังแล้ว เกิดความรู้สึกคละกันหลายอย่าง

ผมเองมองว่า หักดิบแบบนี้ ทำได้ แต่ต้องหาจุดสมดุลของความพอดี

ทำน้อยไป ไม่เกิดประโยชน์

ทำมากไป ก็จะทำลายประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเช่นกัน

เหมือนเก็บภาษี

เก็บน้อยไป ก็ไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้สังคม

เก็บมากไป เช่น เก็บ 99 % ก็จะทำให้สังคมพังทลายได้ง่าย ๆ

หักดิบสิทธิบัตรยาใหม่ ทำได้ แต่ต้องว่าเป็นราย ๆ ไปครับ ไม่ใช้มากเกินงาม

อย่าลืมว่า หากหักดิบเพลินไป ก็จะเหมือนเก็บภาษี 99 % นั่นแหละ

ทำไมผมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า ปรากฎการณ์ "แขนขวานักกล้าม แขนซ้ายโปลิโอ"ระดับสังคม ?

เพราะเรื่องนี้ ส่วนหนึ่ง เกี่ยวข้องกับยาปฎิชีวนะ ซึ่งอาจอยู่ในข่ายโดนหักดิบด้วย

ในโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เขาพยายามควบคุมการใช้ยาปฎิชีวนะกันอย่างสุดฤทธิ์ อย่างน้อยก็ด้วยการแถลงนโยบาย ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ถือว่าทำ

ในร้านยา เภสัชกรเรียนกันมาว่าต้องระวังเรื่องการไม่ใช้ยาพร่ำเพรื่อ เดี๋ยวเชื้อดื้อยาหมด ทำกันมั่ง ไม่ทำกันมั่ง ก็ว่ากันไป

ชาวบ้านร้านถิ่น รับยามา บนซองเขียนบอกไว้ดิบดี อ่านรู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง ก็ตีความกันไปว่าเภสัชกรเรียนเรื่อง usability รึเปล่า (แซวครับ 555)

รู้เรื่องแล้ว ทำตามมั่ง ไม่ทำมั่ง ใครจะมายุ่ง ? ไม่อยากกินนะอ๊ะ

ที่ต้องคุมเรื่องนี้ เพราะเชื้อดื้อยาง่ายมาก หากปล่อยปละ จนเชื้อดื้อรุนแรงแบบ pan-resistant ก็คือ ไม่มียาไหนในโรงพยาบาลรักษาได้อีกแล้ว ก็ยุ่ง

โชคร้ายที่ pan-resistant ก็มีกันให้เห็นแล้ว

ใครป่วยหนักอยู่ก่อน แล้วติดเชื้อแบบนั้น ก็เตรียมโลงไว้ได้ ชอบแบบโลงไม้ หรือโลงเย็น ลายกนก หรือไม่มีลาย จะประดับดอกไม้อะไร ญาติ ๆ ก็เตรียมจัดการไว้ก่อนได้ เป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจว่าคิดรอบคอบดี

เรื่องมาหักมุมตรงที่เกษตรกรที่ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้ยาปฏิชีวนะกันเพลิดเพลินขนาดไหน สังคมแทบไม่มีข้อมูลมาก่อน

ปี 2545 เคยได้ยินว่ามีการพยายาม "ควบคุม" การนำเข้ายาปฎิชีวนะบางตัว เช่น คลอแรมเฟนิคอล ซึ่งคนที่เขาทำนากุ้งเขาฟังแล้วอมยิ้ม ผมคาดคั้นถาม ก็ดันเอาแต่หัวเราะเอ็นดู แล้วบอกว่า ใครเขายังใช้กันอยู่อีก มันดื้อไปนานแล้ว

ฟังแล้วหนาว ว่าแล้วล่าสุดนี่ เขาใช้ยาปฎิชีวนะอะไรกัน 

เชื้อโรคทำ KM ตามธรรมชาติ ดื้อตัวเดียว ก็จะสามารถถ่ายทอดให้ทั้งโลกดื้อได้ในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี ซึ่งใครจะไปรู้ ว่าดื้อจากโรงพยาบาล หรือดื้อจากฟาร์ม ?

ปรากฎการณ์ "แขนขวานักกล้าม แขนซ้ายโปลิโอ"ระดับสังคม ก็คือเรื่องนี้

เหมือนเราอุตส่าห์สร้างกำแพงล้อมบ้านไว้แน่นหนา หน้าบ้านล้อมรั้วไฟฟ้า ติดวงจรอัจฉริยะจำลักษณะขนตาซ้าย ถ้าจะเข้า ต้องใช้รหัสผ่านแบบ 128 ตัวอักษร แต่มีช่องหมาลอดเบ้อเริ่มอยู่หลังบ้านหรือเปล่า กลับไม่ได้ใส่ใจ

มือหนึ่ง เราคุมเรื่องเชื้อดื้อยาแทบตาย แต่อีกมือ เราปล่อยให้เชื้อดื้อยาตามสบายหรือเปล่า ?

หมายเลขบันทึก: 79232เขียนเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2007 21:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน 2012 07:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

อ่านแล้วน่าตกใจจริงๆครับ

เหมือนดับเบิ้ลสแตนด์ดาร์ดยังไงพิกล

  • น่ากลัวมากเลย " เขาชอบเล่นสงกรานต์มะเร็งกัน (เช่น ปลูกผัก อัดสารเคมีเวลาขายคนอื่น แต่ปลูกกินเอง จะเป็นผักปลอดสารพิษ "
  • นอกจากผักและเนื้อสัตว์ที่ใช้สารเร่งเช่นกัน บอกได้คำเดียวว่า   น่ากลัว   มากค่ะ

 

เห็นๆกันอยู่ บางครั้งก็รู้สึกเศร้า รูรั่วมันคืออะไร อาจารย์เห็นว่าอย่างไรคะ
รูรั่วคือการที่สังคมมองแยกส่วนครับ คือเรื่องยาคน ก็ดูแลกันกระทรวงนึง ยาสัตว์ และสารเคมีที่เขาใช้ในสัตว์...ไม่แน่ใจว่าดูกันกี่กระทรวง เชื้อโรคฉลาดกว่าคน ตรงที่บูรณาการเรื่องการดื้อยาได้สำเร็จนี่แหละครับ อายสัตว์เซลล์เดียวจังแฮะ..
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท