สุขภาพ


ด้วยรักและห่วงใย

>นั่งรถตรงไหนปลอดภัยที่สุด
>นั่งรถเก๋งที่เบาะหลังตรงกลางปลอดภัยที่สุด
>รองลงมาคือ ที่นั่งด้านหลังทางซ้าย (หลังคนนั่งข้างคนขับ)
>เพราะตามสถิติอุบัติเหตุจะเกิดทางด้านหน้า และ ด้านคนขับมากกว่า
>และหากมีคนนั่งรถไปกับคุณด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
>จะลด อันตรายจากอุบัติเหตุการชนด้านหน้ารถลงไปด้วย...
>ที่มา : The Seattle Times, November 11, 2001
>(ข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th/th/index_th.php )


>
>เนยแท้ vs เนยเทียม
>เนยแท้ๆ ที่ทำมาจากนม อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายกว่าเนยเทียม
>หรือมาร์การีนซึ่งไม่มีประโยชน์เลยแถมเป็นพิษต่อร่างกายอีกต่างหาก
>แต่ไม่ควรจะบริโภคเนยให้มากนักเพราะมากไป
>ก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ และความดันได้ง่าย...
>
>

>
>วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ
>เรื่องความชราที่มาเยือนนั้นเป็นไปตามวัยก็จริง
>แต่หนุ่มสาวสมัยนี้กลับ "แก่ก่อนวัย"
>ถึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า "ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ"
>เคล็ดลับเหล่านี้ได้จาก น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
>สูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชา­
>๑.ต้องไม่อยากแก่...
>ต้องตั้งใจคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้
>และต้องปฏิบัติควบคู่ไปทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิ­­าณ
>๒.มีใจเป็นหนุ่มสาว..
>คือ รักอิสระ มองโลกในแง่ดีและที่สำคั­มีความหวังเสมอ
>หรือการคบเพื่อนที่อายุน้อยกว่าก็เป็นวิธีการที่ดี
>๓.ลดความเครียด..
>เลิกเอาคิ้วผูกโบได้แล้ว ลองยิ้มให้มากขึ้น
>ถ้าไม่รู้จะยิ้มอย่างไรก็ลองยิ้มกับกระจกเงาที่บ้านดูสิ
>๔.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ..
>ออกกำลังการอย่างน้อย 15 นาทีจะดี
>๕.กินอาหารต้านชรา..
>พยายามเลือกอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย
>เช่น
>พืชผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
>๖.นอนหลับเพียงพอ..
>เราควรจะนอนให้เพียงพอกับร่างกาย
>ที่ดีที่สุดควรนอนก่อนสี่ทุ่มจะดีที่สุด
>๗.ความรัก..
>ความรักเท่านั้นที่จะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย
>ทั้งความรักของคนหรือสัตว์ ก็จะช่วยให้เราหัวใจเบิกบาน
>
>
>
>
>
>
>
>ขนมเด็กเคลือบยาพิษ Safe Stamp ระวัง !
>อันตรายจากอาหารขบเคี้ยว ข้อมูลจากการสำรวจ
>ของราชพฤกษ์โพล
>คณะสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
>ซึ่งเก็บตัวอย่างจากขนมหลายประเภท
>จากโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จำนวน 40 โรงเรียน
>ในพื้นที่17 เขตของกรุงเทพมหานคร
>พบว่าภัยร้ายที่แฝงอยู่ในขนมเด็ก
>โดยเฉพาะสารตะกั่วซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
>ขณะเดียวกันก็ยังพบสารอันตรายอื่นๆ
>โดยเฉพาะเกลือโซเดียมในปริมาณมากน้อยต่างกันไป
>ซึ่งหากบริโภค มากจนตกค้างสะสมในร่างกาย
>อาจมีผลให้เส้นเลือดในสมองโป่งพองได้
>10 อันดับขนมขบเคี้ยวประเภทข้าว แป้ง
>ที่พบปริมาณโซเดียมสูงสุดดังนี้
>1. ข้าวเกรียบปลาหมึก ตราอาริงาโตป้ง
>2. ขนมทอดกรอบตราปูไทย ซองส้มเข้มป้ง
>3. ข้าวเกรียบทอด ตราเอสบี รสพริกหยวกี่
>4. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราฮานามิ รสเม็กซิกันชิลลี่ษ
>5. แป้งมันฝรั่งทอดกรอบ ตราโรลเลอร์ โคสเตอร์
>รสหัวหอมทรงเครื่อง
>
>6. แป้งข้าวโพดอบกรอบ ตราโจโต้ รสปลาหมึก
>7. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราคาลบี้ รสต้มยำรสแซบ
>8. ข้าวเกรียบปลา ตรามโนห์รา
>9. ข้าวเกรียบกุ้ง ตรามโนห์รา
>10. ข้าวเกรียบรสมะเขือเทศ
>
>
>
>
>
>
>
>โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆ ครั้ง
>น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด
>เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆ ครั้ง
>น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือ
>จึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆ เข้มข้นขึ้นมาก
>และเกินมาตรฐานการบริโภค น้ำที่ต้มเดือดนานๆ
>ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ
>จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์
>ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย
>และแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย
>จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ
>และอาจมากจนเกินขีดจำกัด ความสามารถของร่างกาย
>ในการกำจัดขับถ่ายออกมา
>จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง ครับ
>
>
>
>
>
>
>
>อาหารต้านมะเร็ง 5 ประการเพื่อการป้องกัน
>1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก
>เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ
>เพื่อป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ให­่ ลำไส้ส่วนปลาย
>กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
>2. รับประทานอาหารที่มีกากมาก
>เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธั­พืชอื่น ๆ
>เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ให­่
>3. รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และไวตามินเอสูง
>เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง
>เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอดำ
>4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูงเช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
>เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร
>5. ควบคุมน้ำหนักตัว..โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง
>เช่น มดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ให­่
>
>
>
>
>
>
>
>ผลกระทบของการอดนอน
>งานวิจัยเชิงทดลอง โดยอาสาสมัครหนุ่มสาว
>ทดลองนอนหลับวันละ 4 ชม. เป็นเวลา 6 คืน เมื่อเจาะตัวอย่างเลือด
>พบว่า มีปั­หาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นและควบคุมยาก
>ซึ่งเกือบจะเป็นเหมือนโรคเบาหวาน
>นักวิจัยยังพบว่าการอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
>โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต
>ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริ­เติบโตทางกายภาพ
>และควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย
>การอดนอนทำให้ฮอร์โมนนี้หลั่งน้อยลง
>ร่ายกายรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
>นอกจากนี้ยังส่งผลต่อฮอร์โมนเลปติน
>ซึ่งเป็นสารที่สื่อต่อระบบประสาท
>ว่า ควรจะอิ่มได้เร็วหรือช้าเท่าใด
>ตามความต้องการอาหารของร่างกาย
>เมื่อระดับเลปตินลดลงจากการนอนน้อย
>ผู้คนจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
>แม้จะได้กินอาหารจนได้พลังงานเพียงพอแล้วก็ตาม
>การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาว
>และกลไกการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่างๆ
>ของร่างกาย
>ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค
>การนอนไม่พออาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
>มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องวงจรการหลั่งฮอร์โมนแปรปรวน
>เนื่องมาจากการอดนอนและ แสงรบกวนในเวลากลางคืน
>ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
>ฉะนั้น นอกจากเราควรจะนอนให้เพียงพอแล้ว
>เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย
>
>
>
>
>
>
>
>6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
>ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว
>ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
>ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
>ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย
>เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน
>และหัวใจวายแน่นอน
>อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติ
>ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้ เป็นอย่างดีเยี่ยม
>6 อัศวินตัวสำคั­นั้นคือ
>1.มะเขือต่างๆ..
>2.หอมหัวให­่..
>3.กระเทียม
>4.ถั่วเหลือง..
>5. แอปเปิล..
>6.โยเกิร์ต
>วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ
>ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน.
>
>
>
>
>
>
>
>อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง
>คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป
>อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้น
>ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน
>อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง
>มีบางชนิดที่เราแทบไม่เชื่อเลยล่ะ
>กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย
>ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น
>ทำให้สู­เสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง
>การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง
>กระเทียม.. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด
>โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง
>ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง
>จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ
>นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน
>เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย
>ในขณะที่ท้องว่าง
>จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย
>นมและนมถั่วเหลือง.. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน
>แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร
>มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย
>เหล้า .. หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร
>ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
>น้ำตาลหรืออาหารหวาน... ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน
>หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง
>จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
>และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
>ชา...ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย
>ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน
>ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ
>มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ
>ลูกพลับ.. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง
>เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง
>
>และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก
>คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
>
>
>
>
>
>
>
>ไอศกรีม อาหารขยะ
>ไอศกรีมบางยี่ห้อ บางผู้ผลิต ใช้ไขมันที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์ แทน
>และได้ใส่ส่วนผสมสังเคราะห์ จากสารเคมีต่าง ๆ ดังนี้
>1. ไดอิธิลกลูคอล ( diethyl glucol )..สารเคมีราคาถูก ใช้ตีไขมัน
>ให้กระจาย แทนการใช้ ่ไข่ เป็นสารกันเยือกแข็ง ที่ใช้กันน้ำแข็ง
>( anti freeze) และผสมในน้ำยากัดสี
>2. อัลดีไฮด์ - ซี71 ( aldehyde-C71 ) .. ใช้สร้างกลิ่น เชอร์รี่
>ให้ไอศกรีมเป็นของเหลวติดไฟง่าย และยังนำไปใช้ทำสีอะนิลีน พลาสติกและยาง
>3. ไปเปอร์โอรัล ( piperoral )..ใช้แทนวานิลลา เป็นสารเคมีที่ใช้ฆ่าเหาและ
หมัด
>4. อิธิลอะซีเตท (ethyl acetate ) .. ใช้สร้างกลิ่นรสสับปะรด
>ใช้เป็นตัวทำความสะอาดหนังและผ้าทอ กลิ่นของสารเคมีตัวนี้
>ทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรัง ตับ และหัวใจผิดปกติ
>5. บิวธีรัลดีไฮด์ ( butyraldehyde) ใช้สร้างกลิ่นรสเมล็ดในผล
>ไม้เปลือกแข็ง
>เป็นสารประกอบสำคั­ในกาวยาง
>6. แอนนิล อะซีเตท( anyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นรสกล้วยหอม
>เป็นสารทำลายใช้ล้างไขมัน
>7. เบนซิล อะซีเตท(benzyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นและรสสตรอเบอร์รี่
คำสำคัญ (Tags): #สุขภาพ
หมายเลขบันทึก: 79192เขียนเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2007 15:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 01:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท