การพัฒนาที่เป็นประโยชน์ หรือที่เรียกว่า แบบบูรณาการนั้น คือการทำงานที่มีคุณค่าที่แท้จริง ตามความหมายที่เขียนและกำหนดไว้ในแต่ละงาน ตามวัตถุประสงค์ของงานที่ตั้งไว้
แต่ในปัจจุบันนี้ เรามักแยกกันไปตามเงื่อนไขของสายงานย่อย ที่มีตัวชี้วัดเฉพาะด้าน ที่กำหนดไว้โดยไม่จำเป็นต้องบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในงาน โดยรวมที่เขียนไว้ หรือที่ควรจะเป็น
ตัวชี้วัดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการพัฒนามากที่สุดของการทำงานวิจัยและพัฒนาก็คือ การตีพิมพ์ ที่มีค่าคะแนนความสำเร็จของโครงการวิจัยและพัฒนาสูงมาก โดยไม่จำเป็นต้องมีประโยชน์ต่อการพัฒนาแต่อย่างใด
ผมก็ไม่ทราบว่าสาเหตุที่แท้จริงของการกำหนดตัวชี้วัดตัวนี้ คืออะไร แต่คงจะใช้หลักการตามความรู้สึกของนักวิชาการว่า ถ้าจะทำให้งานมีประโยชน์นั้น ต้องตีพิมพ์ให้คนอื่นได้รับรู้ ตามความคาดหวังว่า หลังจากการตีพิมพ์แล้ว ก็จะมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น
แต่สมมติฐานดังกล่าวนั้น ไม่เกิดผลในระบบของสังคมไทย แต่ก็ยังเป็นตัวชี้วัดที่ยังเน้นการใช้กันอย่างจริงจังมากในแทบทุกงาน โดยใช้สมมติฐานดังกล่าวข้างต้น ด้วยสาเหตุที่น่าจะเป็น ต่างๆ ดังนี้
สิ่งต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น น่าจะเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการทำงานเพื่อการพัฒนาที่แท้จริง และยิ่งในปัจจุบัน มีการเน้นการจดลิขสิทธิ์ ตามสมัยนิยมแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ทั้งๆที่การจดลิขสิทธิ์หลายๆครั้ง จะเป็นการปิดกั้นมากกว่าการสนับสนุนงานพัฒนาด้านนั้นๆ
ผมจึงคิดว่า เราน่าจะมาทบทวน ปัญหาของการทำงานในขั้นต่างๆ แทนการวิ่งตามเกณฑ์ และตัวชี้วัด ที่ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อผู้กำลังรอความหวังจากนักวิชาการและนักพัฒนาแต่อย่างใด
และขอว่า ทำให้ความเป็นเลิศทางวิชาการกับความเป็นเลิศในการพัฒนานั้น นำมาเชื่อมโยงกันได้ไหม หรือจะทำให้เป็นเรื่องเดียวกันได้ ก็ยิ่งดีครับ
ขอบพระคุณครับอาจารย์ครับ
เห็นด้วย กับอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ
และมีคำถามในใจครับว่า การที่นักพัฒนา นักวิชาการ หรือนักวิจัยทั้งหลายได้เอาข้อมูลของพื้นที่ ไปตีพิมพ์เพื่อประกาศศักดิ์ดาของตนแล้ว เคยคิดย้อนกลับบ้างไหมว่าเจ้าของข้อมูล (ฝ่ายถูกกระทำ หรือเจ้าของพื้นที่) ได้อะไรบ้าง
ด้วยความเคารพ
อุทัย อันพิมพ์
ที่พูดมาเป็นโสกนาฏกรรมทางวิชาการที่เรากำลังหลับหูหลับตาเดินตามกันไปเหมือนหมูเดินตามกันเข้าห้องเชือดอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนพยายามดิ้นรนให้ผ่านเกณฑ์ โดยไม่เคยตั้งคำถามว่าเกณฑ์มีไว้ทำอะไร
เศร้าจริงๆครับ
มันเป้นเรื่องเศร้าของแผ่นดิน มีมากมายเหลือเกินยิ่งพบมากในบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า "มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต" ส่วนมากก็ C&D ล้วนๆ อย่าหาเลย "R&D" (ใครที่เป็น R&D ก็ไม่ว่ากันนะ) ลอกกันไปมา จนหาความรู้จริงไม่ได้ หาเจ้าภาพต้นตอจริงก็ไม่ได้ ระบบการศึกษา สร้างแต่"ธานานุภาพ" มากกว่า "ศักดิ์ศรี"
ประมาณนั้นครับ
อยากทราบความหมายของคำว่า "ความเป็นเลิศทางวิชาการ" หน่อยครับ
ก็คือการสร้างความรู้เชิงทฤษฎีครับ
ที่จริงคำถามนี้ดีมาก ที่สื่อว่าวิชาการต้องเป็นของจริงเท่านั้น
แสดงว่าผมเขียนหละหลวมไป คราวหลังจะระวังมากกว่านี้ครับ