เขานมนาง(โลกในใจของบุญถึง ตอนที่ 2)


...ความแห้งแล้วและความร่อยหรอของธรรมชาติที่เขานมนาง ซึ่งเคยเป็นแหล่งอาหาร หล่อเลี้ยงชีวิตของลุงอั้น มีส่วนทำให้ชีวิตของแกต้องจบลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
      บ้านผมอยู่เชิงเขา ที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า เขานมนาง” เป็นภูเขาที่ไม่สูงมากนักมียอดสูงสองยอดตั้งโดดเด่นคู่กัน ทำให้เกิดจินตนาการเรียกชื่อนี้ติดปากกันเรื่อยมา เทือกเขานมนาง ทอดเป็นแนวยาวไปสุดลูกหูลูกตา เป็นแหล่งอาหารป่าที่สำคัญ จึงถือเป็นเลือดเนื้อและชีวิตของคนในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้ป่า ผักทับแทน ดอกกระเจียว บุก เห็ดโคน หรือสัตว์ป่าบางชนิด เช่น กระรอก กระแต อีเห็น ไม้ป่า กระต่ายป่า แย้ นกต่าง ๆ ส่วนสัตว์ป่าตัวโต ๆ พวกเก้ง หมูป่า เริ่มหาทำยายากแล้วในตอนที่ผมเป็นเด็ก จะมีบ้างก็ในป่าลึก ๆ
       พ่อเคยเล่าว่าตอนพ่อมาอยู่ที่ใหม่ ๆ ตั้งแต่ผมยังไม่เกิด เวลากลางคืนจะมีหมูป่ามากันเป็นฝูง มากินมันเทศที่พ่อปลูกไว้ พวกเก้งหรือเสือยังปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ พ่อจึงทำห้างสำหรับดักยิงสัตว์พวกนี้ที่คอยมารบกวนพืชผัก พ่อจึงได้กินเนื้อสัตว์เหล่านี้เป็นประจำ
       นอกจากสัตว์ป่าหลายชนิดแล้ว พ่อเล่าว่า ยังมีงูต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะงูจงอาง เป็นงูพิษที่คนกลัวกันมาก ตัวมันยาวเลื้อยและฉกได้รวดเร็ว มันจะฉกสูงตั้งแต่ศีรษะถึงลำตัว มีครั้งหนึ่งลูกสาวลุงอินไปถางป่าแล้วถูกงูจงอางกัดตาย ลุงอินแกรักลูกสาวและโกรธเจ้างูตัวนี้มาก แกถือมีดขอ พร้อมกับปีบเจาะรูเฉพาะตรงลูกตาให้มองเห็น คลุมหัวออกล่าเจ้างูตัวนี้ เมื่อประจันหน้ากัน งูจงอางก็ฉกแกอย่างรวดเร็ว ถูกปีบที่แกคลุมหัวเสียงดังสนั่น ลุงอินแกฉวยโอกาสนั้นใช้มีดขอที่คมกริบ สังหารเจ้างูร้ายจนขาดหลายท่อน สังเวยชีวิตลูกสาวสุดที่รักของแกได้สำเร็จ

      พอมาถึงสมัยผมมีแต่สัตว์ป่าเล็ก ๆ ให้ล่า ก็ใช้แต่เครื่องมือพวก “จั่น” “กับ” แร้ว” กระบอก” สำหรับดักกระรอก กระแตและอีเห็น “ซิง” สำหรับดักกระต่าย ไก่ป่า และนกคุ่ม “น่วง” สำหรับดักแย้พูดถึงเครื่องมือดักสัตว์ทำให้ผมนึกถึง
ลุงอั้น ลุงอั้นคนนี้เป็นผู้ที่มีฝีมือในการทำเครื่องมือดักสัตว์ป่า และมีความรู้เรื่องการล่าสัตว์อย่างหาตัวจับได้ยาก ตอนนั้นแกคงอายุราว 50 ปีเห็นจะได้ คงแก่กว่าพ่อสัก 2 - 3 ปี ตัวแกเล็ก ผอมเกร็ง ไม่ชอบสวมเสื้อจนทำให้เห็นซี่โครงและเส้นเอ็นที่ปูดโปน แต่แกก็ดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมงลุงอั้นมาอาศัยที่ในสวนของพ่อปลูกกระต๊อบเล็ก ๆ อยู่ตัวคนเดียว พ่อบอกว่าลุงอั้นอพยพมาจากอีสานตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีสมบัติ และอาชีพอะไรที่เป็นหลักฐาน อาศัยเก็บของป่าล่าสัตว์ จากเขานมนาง เลี้ยงชีพตั้งแต่หนุ่มเรื่อยมา
       ดูพ่อไม่ค่อยชอบลุงอั้นนัก พ่อมักจะสอนพวกเราว่า     “อย่าเอาอย่างตาอั้นนะ ทำงานหาเงินได้เท่าไรก็เอาไปซื้อเหล้ากินหมด พอไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ก็ต้องมาเดือดร้อนเรา”
     พ่อเองก็ชอบดื่มเหล้า มีเพื่อนฝูงมากมาย แต่ผมไม่เคยเห็นพ่อร่วมวงก๊งเหล้ากับลุงอั้นสักครั้ง พ่อหาว่าลุงอั้นเมาแล้วงอแง พูดจาไม่รู้เรื่อง ซึ่งในเรื่องนี้พ่อมักถูกแม่กระแนะกระแหนว่า
    “เวลาตัวเองเมาเหล้าแล้วเอะอะโวยวาย ร้องรำทำเพลงน่ารำคาญกว่าลุงอั้นอีก ไม่เห็นพูดสักคำ”
    ก็คงเข้าทำนอง “โทษผู้อื่นมองเห็นเท่าภูเขา โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน” นั่นแหละ
    แต่จริง ๆ แล้วพ่อก็ไม่ได้ใจไม้ใส้ระกำกับลุงอั้นหรอก คอยบอกให้แม่และพี่สาวผมช่วยเหลือเรื่องข้าวสาร น้ำปลา ยาแก้ปวดอยู่ห่าง ๆ โดยพ่อไม่ยอมไปสุงสิงด้วยเท่านั้น
   
การที่ครอบครัวเราไม่รังเกียจลุงอั้น ก็คงเพราะมีความรู้สึกลึก ๆ ว่า ลุงอั้นเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราและแกเป็นคนไม่มือไวใจเร็ว เรียกว่า “อดอยากเยี่ยงอย่างเสือสงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้องจับเนื้อกินเอง” แกไม่เคยปริปากขอความช่วยเหลือ พวกเราต่างหากที่เวทนาและช่วยเหลือแกเอง และลุงอั้นยังมีประโยชน์ช่วยเฝ้าสวนเฝ้าบ้านให้พวกเราด้วย
     ผมชอบไปนั่งคุยกับลุงอั้น แกมักมีเรื่องเกี่ยวกับ สัตว์ป่า ที่ผมไม่เคยเห็นเล่าให้ผมฟังเป็นภาษาอีสานปนภาคกลางที่ฟังแล้วน่าขัน แกสอนผมให้รู้วิธีการล่าสัตว์ป่าด้วยเครื่องมือชนิดต่าง ๆ ทำน่วงดักแย้ให้ผมไม่น้อยกว่า 10 อัน และเครื่องมือดักสัตว์อีกมากมาย ผมมักจะแอบเอาข้าวสารและยาแก้ปวดไปให้แกเป็นการส่วนตัวเพื่อแลกกับเครื่องดักสัตว์
    ลุงอั้นอยู่กับเราจนสิ้นชีวิต พวกเราช่วยกันทำศพให้แก่อย่างดีตามประเพณีท้องถิ่น แม้แกจะจากไปนานแล้วแต่ผมก็ยังระลึกถึงแกอยู่เสมอ
   
สมบุญเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเผมที่เล่นและเรียนมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก บ้านเราอยู่ติดกัน สมบุญเรียนจบแค่ชั้นประถมปีที่ ๔ แล้วต้องมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา เช่นเด็กอื่น ๆ ในหมู่บ้าน แม้ผมจะมีโอกาสได้เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาในตัวเมืองแต่เราก็ยังสนิทสนมกันเหมือนเดิม วันเสาร์วันอาทิตย์ใดที่ว่างเว้นจากงานในสวน หรือพอหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกใช้งานได้ สมบุญกับผมชอบไปล่าแย้บนเขานมนางกัน
     เครื่องมือที่ใช้ก็คือน่วงที่ลุงอั้นทำให้และหนังสติ๊ก สมบุญและผมสะพายน่วงไปเสาะหารูแย้ในตอนเช้า ซึ่งเป็นตอนที่แย้ยังไม่ออกหากิน สมบุญจะชำนาญเรื่องการดูรูแย้กว่าผม รูแย้จะมีขุยที่แย้ทำปิดรูไว้ แตกต่างจากรูจิ้งหรีด ผมจะใช้น่วงที่ลุงอั้นทำให้ ซึ่งเป็นกระบอกไม้ไผ่ยาวประมาณสองนิ้ว เจาะรูสองรูผูกเชือกรั้งกับคันไม้ เวลาดักแย้ก็จะโน้มเชือกลงมา โดยใช้ไม้รั้งกับลิ้นไม้ไผ่ที่อยู่ระหว่างเชือก ดึงลงมาครอบปากกระบอกไม้ไผ่ ทำเชือกเป็นบ่วงดัก รอบกระบอกไม้ไผ่ แล้วนำไปครอบบนรูแย้ เอาหินทับขอบกระบอกไว้เพื่อไม่ไห้ล้ม พวกเราจะทำเช่นนี้กับรูแย้ทุกรูจนหมดน่วงทุกอัน หรือเท่าที่จะหารูแย้ได้
     กว่าจะวางน่วงดักแย้ได้ครบทุกรูก็ร่วมสิบโมงเช้า ได้เวลาแย้ออกหากิน มันจะออกจากรู ดันลิ้นไม้ไผ่ที่ครอบอยู่กับกระบอกไม้ไผ่ให้หลุดออก คันน่วงก็จะดีดทำให้บ่วงเชือกยักคอแย้ไว้ไปไม่รอด รอให้ผมกับสมบุญมาจัดการเอาเชือกผูกเอวมัน ถ้าได้ครบทุกรูก็จะได้แย้ตัวลายพร้อยผูกเป็นพรวนดิ้นกระแด่ว ๆ เป็นภาพที่ผมกับสมบุญสนุกและตื่นเต้นมาก โดยไม่เคยคิดว่าถ้าตนเองกับเพื่อน ๆ ถูกจับมามัดรวมกันอย่างนั้นจะรู้สึกอย่างไร
     นอกจากดักด้วยน่วงได้แล้ว พวกเรายังไล่ล่าแย้ตัวอื่น ๆ ให้ลงรู แล้วเอาน่วงดักรอให้มันออกมาติดน่วงอีก บางครั้งรอไม่ไหวก็จะใช้เสียมขุดรูแย้ โดยพยายามหา “เปลว” หรือ รูทางออกอีกทางที่แย้เตรียมหลบหนี แล้วใช้น่วงดักรอไว้ แย้ที่น่าสงสารจะไม่มีทางรอดเงื้อมมือผมกับสมบุญไปได้เลย
    แต่ละครั้งที่เราออกไปล่าแย้จนประมาณบ่ายโมง จะได้แย้แบ่งกันคนละไม่น้อยกว่า 10 ตัว พี่บุญนำพี่สาวคนโตของผมมีฝีมือในการทำลาบแย้ที่พ่อชอบเป็นพิเศษ เวลาผมจะไปล่าแย้เพื่อไม่ให้ถูกแม่และพี่เอ็ดเอา ผมจะไปขออนุญาตพ่อก่อนเสมอ ซึ่งพ่อก็ไม่เคยขัดผมสักครั้ง
     นอกจากล่าแย้แล้ว ผมกับสมบุญยังชอบไปซุ่มยิงนกปรอดที่มากินลูกข่อยตามจอมปลวกด้วยหนังสติ๊ก และตอนกลางคืนในฤดูหนาวที่ดอกงิ้วบาน หรือช่วงลูกจันทน์ในสวนหลังบ้านสุก พวกเราจะไปซุ่มดักยิงค้างคาวกัน ฝีมือยิงหนังสติ๊กของสมบุญก็แม่นกว่าผมมาก ผมพยายามฝึกฝนเท่าไรก็สู้ไม่ได้ อาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมที่มีโอกาสทำบาปได้น้อยกว่าสมบุญก็ได้ 
     บ้านผม
ทำสวนอยู่เชิงเขานมนาง สวนของเราเป็นที่ดอน มีพื้นที่ลาดเทลงไปสู่ท้องทุ่งนาที่กว้างขวาง ด้วยเหตุนี้หมู่บ้านผมจึงได้ชื่อว่า บ้านโคกหัวนา” บ้านผมทำแต่สวนไม่ได้ทำนา ปลูกผลไม้นานาชนิด มีทั้งมะม่วง ขนุน สับปะรด มะนาว น้อยหน่า กล้วย และปลูกพืชไร่แซมอีกหลายชนิด นับเป็นสวนที่มีผลไม้ประเภทแปลก ๆ และมีคุณภาพดีกว่าสวนข้างเคียง ผลไม้ในสวนที่ขึ้นชื่อมีคนรู้จักกันทั่วไป ทั้งในหมู่บ้านและตำบลใกล้เคียง คือขนุนกับมะนาว จนชาวบ้านพูกันติดปากว่า “ขนุนลุงหนอม” “ลุงหนอม” เป็นชื่อพ่อผม ขนุนหนัง ขนุนทับทิม และขนุนทุเรียนจากสวนลุงหนอมมีชื่อเสียงไปถึงตัวเมือง ทำให้สวนที่บ้านผมเป็นที่รู้จักในชื่อผลไม้ประเภทอื่นไปด้วย
     ถัดจากสวนผลไม้ตั้งแต่เชิงเขาขึ้นไปถึงยอดเขานมนางซึ่งเป็นภูเขาเตี้ย พ่อผมไปจับจองที่ดินหักล้างถางพงเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย เป็นบริเวณกว้างขนานไปกับพื้นที่สวนตอนล่างเช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ระยะแรก ๆ ก็ปลูกพืชไร่ จำพวกถั่วฝักยาว พริก มะเขือ แตงไทย ฟักทอง บวบ โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยและไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง พืชผักก็เจริญงอกงามอย่างผิดหูผิดตา พอปีที่สองปีที่สามดินเริ่มเสื่อมคุณภาพลง เพราะถูกชะล้างหน้าดินจากการทำไร่ที่ไม่ถูกวิธี พืชผักก็เริ่มมีผลผลิตลดลง การชะล้างหน้าดินจากภูเขาสู่เชิงเขาตอนล่าง ทำให้สวนผลไม้ที่บ้านผมซึ่งอยู่เชิงเขา มีความอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตจำหน่ายเลี้ยงชีวิตและส่งเสียผมให้เล่าเรียนได้จนตลอดรอดฝั่งเป็นเวลายาวนาน แต่ขณะเดียวกัน พื้นดินบนภูเขาก็เสื่อมคุณภาพลงตามลำดับ จนไม่สามารถปลูกพืชผักได้ และกลายเป็นเขาหัวโล้นในที่สุด
     การชะล้างหน้าดินลุกลามลงมาถึงพื้นที่ในสวนเชิงเขาที่บ้านผม และมาปรากฏความรุนแรงก็ตอนที่ผมเรียนจบมาเป็นครูแล้ว มะม่วง มะนาว ขนุน ที่เคยขึ้นชื่อ กลับทรุดโทรมและทยอยเฉาตายลงจนในที่สุดไม่สามารถปลูกอะไรทดแทนได้
     ความร้อนและความแห้งแล้วแผ่ขยายครอบคลุมบ้านโคกหัวนาอย่างไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ภายในเวลาเพียงไม่ถึง 15 ปี “ขนุนลุงหนอม” กลายเป็นอดีตที่ไม่มีใครพูดถึงอีกแล้ว อีเห็น กระรอก กระแต แย้ นกปรอด เป็นสัตว์ที่เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จัก ...ความแห้งแล้วและความร่อยหรอของธรรมชาติที่เขานมนาง ซึ่งเคยเป็นแหล่งอาหาร หล่อเลี้ยงชีวิตของลุงอั้น มีส่วนทำให้ชีวิตของแกต้องจบลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
    
...เทือกเขานมนางรอวันที่จะถูกระเบิดให้ย่อยสลายกลายเป็นหินที่มีค่าเพียงเพื่อถมถนนเท่านั้น...

 

หมายเลขบันทึก: 79065เขียนเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2007 19:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 09:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เรียนคุณครูธเนศ

  • เข้าทำนองเส้นผมบังภูเขา แหม! เข้าใจเขียนนะค่ะว่า    ก็คงเข้าทำนอง “โทษผู้อื่นมองเห็นเท่าภูเขา โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน”
  • น่าเสียดายนะค่ะ ความทรงจำของวันวาน  ยัง เป็นได้เพียงแค่ความทรงจำ  ไม่มีโอกาสเห็นได้อีกแล้ว  นอกจากบอกกล่าวเป็นตัวหนังสือ

บางครั้งเราทุกคนก็มีวัยเด็กของเราเองอาจมีความสุขหรื่อทุกมีช่วงเวลาที่สนุกและงอแงแต่มันก็เป็นความทรงจำที่ดีขอบคุณนะคะที่มีเรื่องดีดีให้อ่านทำให้ยิ้มได้ส่วนเรื่องที่ไม่ดีเวลาเป็นตัวทำลายมันแต่วันข้างหน้าเวลาก็จะรักษามันเหมื่อนกันเก็บเรื่อที่ดีมาเป็นยาแห่งความสุขไว้นะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท