วันนี้ผมนึกไม่ออกว่าจะเขียนเล่าเรื่องอะไรดี เพราะเมื่อวานทิ้งท้ายไว้ว่า คุณเอื้อน่าจะจัดทัพกันใหม่เพราะมีเรื่องราวเข้ามามากมายเหลือเกิน เอาเป็นว่าเท่าที่ผมรู้จากหนังสือพิมพ์คือ โครงการจังหวัดอยู่ดีมีสุขที่รองนายกโฆษิตดูแลผ่านมท. อุตสาหกรรมและอื่นๆจำนวน5,000ล้านบาท โครงการพัฒนาหมู่บ้านตามแนวศก.พอเพียงที่ปรับจากSMLอีก5,000ล้านบาท ทั้งหมดนี้เป็นการดึงงบขนมชั้นของรัฐบาลชุดที่แล้วที่กระจายมายังชุมชนโดยตรงคือSMLและกระจายมายังจังหวัดตามสัดส่วนประชากรคืองบซีอีโอกลับไปยังราชการส่วนกรมอีกครั้งหนึ่ง ผมเห็นว่ากลไกการกระจายงบของรัฐบาลชุดที่แล้วก้าวหน้ากว่า ถ้าบอกว่าไม่มีประสิทธิภาพหรือล้มเหลวก็มาจากตัวช่วยคือส่วนราชการที่รับผิดชอบพื้นที่ไม่ได้ทำหน้าที่คุณอำนวยแบบมืออาชีพมากกว่า เรามาดูว่าใน2รัฐบาลนี้
1)มีการจัดการที่ต่างกันตรงไหน?
2)ปัญหาหรืออุปสรรคอยู่ตรงไหน?
3)จะฝ่าข้ามอุปสรรคที่ว่าไปได้อย่างไร?
(ก)รัฐบาลคุณทักษิณกระจายอำนาจสู่ชุมชนโดยตรง(ข้ามราชการภูมิภาคและท้องถิ่น)ในโครงการSMLตามสัดส่วนประชากรหมู่บ้านละ2-3แสนบาท โดยให้เวทีประชาคมหมู่บ้านไปคุยกันว่าควรจะนำเงินของหมู่บ้านไปทำเรื่องอะไรตามลำดับความสำคัญ โดยให้มท.กำกับดูแลซึ่งแขนขาสำคัญก็คือพัฒนาชุมชนและให้สถาบันอุดมศึกษาปชส.และติดตามสนับสนุน ผู้รับผิดชอบคือม.นเรศวรผ่านมหาวิทยาลัยที่เป็นhubในภูมิภาคต่างๆ(ซึ่งมีผลรายงานออกมาในหน้าหนังสือพิมพ์)
(ข)รัฐบาลคุณทักษิณกระจายอำนาจสู่จังหวัดซีอีโอตามสัดส่วนประชากร เกณฑ์รายได้และอื่นๆเพื่อให้จังหวัดขับเคลื่อนงานตามagendaของรัฐบาล ของกลุ่มจังหวัดและของจังหวัด แก้ไขระเบียบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการสั่งการมากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของโครงการKMเมืองนครที่วางroadmapไว้6ปีจำนวน85ล้านบาท
(ก1)รัฐบาลปัจจุบันใช้งบSMLที่ตั้งผูกพันไว้ต่อเนื่อง เปลี่ยนเป็นโครงการพัฒนาหมู่บ้านตามแนวศก.พอเพียงโดยให้มท.เป็นแกนรับผิดชอบ โดยนายอำเภอ(ปกครอง)ซึ่งมีบทบาทกำกับดูแลให้มีอำนาจตรวจสอบอนุมัติโครงการ นั่นหมายถึงการดึงอำนาจกลับมาที่กรมอีกครั้งหนึ่ง โดยที่กลไกสนับสนุนก็คงเป็นเหมือนเดิมคือมอบให้พัฒนาชุมชน
ผมไม่คิดว่างบอยู่ที่ชุมชนโดยให้หน่วยงานเป็นพี่เลี้ยงจะทำให้งานล้มเหลวกว่างบมาอยู่ที่พี่เลี้ยงโดยตรง ถ้ามันจะล้มเหลวก็ล้มเหลวเพราะกลไกสนับสนุนของเราไม่ทำงาน(function)หรือทำงานได้อย่างด้อยประสิทธิภาพมากกว่า
(ก2) รัฐบาลปัจจุบันใช้งบกลางทำโครงการจังหวัดอยู่ดีมีสุข ให้สภาพัฒน์ฯเป็นกุนซือ มท. เป็นแม่ทัพ ผมอ่านหลักคิดของสภาพัฒน์ฯแล้วสรุปได้ว่าให้รัฐโดยจังหวัดทำหน้าที่หลักในการดูแลทุกข์สุขของประชาชน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสร้างความเป็นธรรมในสังคมเป็นหลัก
กิจกรรมหลักคือ
ดูแลในการบริการสาธารณะด้านการศึกษา สาธารณสุข ผู้ด้อยโอกาสและการสงเคราะห์
ส่งเสริมและพัฒนาโอกาสของผลิตภัณฑ์ชุมชน
ดูแลและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของจังหวัด
ส่งเสริมการดำเนินการตามหลักศก.พอเพียงและทฤษฎีใหม่
จังหวัดเน้นเรื่องคน ทรัพยากรธรรมชาติ อาชีพ
อบต.-ชุมชนเน้นการเชื่อมโยงแผนชุมชน
โดยหลักคิดก็ดีอยู่หรอก แต่ที่เราล้มเหลวคือ การจัดการและhardwareที่ไม่สอดคล้อง
เขียนถึงตรงนี้ ต้องขอตัวเข้าร่วมประชุมกับทีมงานที่พมจ.เวลา9.30น.ก่อน เพราะพรรคพวกโทรมาแต่เช้าให้ไปหารือกันที่พมจ.ก่อนจะเข้าพบท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเวลา10.00น.ซึ่งก็เป็นอีกหลายๆทัพที่จะเข้ามารุก(สนับสนุน)การพัฒนาเมืองนครศรีธรรมราข
ไม่แน่ใจว่า การดึงอำนาจมาที่ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เป็นผลจากการเคยชินตามวิธีคิดในระบบราชการของผู้กำหนดนโยบาย หรือ เป็นเพราะปัญหาทางการเมือง
แต่ที่แน่ๆ กระบวนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นดูเหมือนจะสะดุดลง
การทำงานในแนวดิ่งของระบบราชการไทยมีปัญหาเรื่องความรู้ความเข้าใจ ความไว้วางใจต่อกันระหว่างข้างบนกับข้างล่างมาโดยตลอด รวมทั้งการทำงานของนักวิชาการที่จะเชื่อมติดกับชาวบ้านด้วย
งานเขียนของคุณภีมแม้จะอ่านยากเพราะต้องคิดตามตลอด แต่ก็มีประโยชน์มากสำหรับคนที่พยายามทำความเข้าใจข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นค่ะ
แค่เห็นชื่อ ก็รู้แล้วค่ะว่า "เร้าใจ"
แวะมาอ่านเพราะเขียนงานตัวเองไม่ออกค่ะ