กฎหมายก็เป็น emergent รูปแบบหนึ่ง แต่อาจจะเป็น emergent แบบอ่อน คือเห็นไม่ชัดนัก
เกิดการขมวดปมของการมองร่วมกันไปข้างหน้าของทั้งสังคม เป็นการสังเคราะห์วิสัยทัศน์ของทั้งสังคม เป็นการสังเคราะห์กฏกติกาขึ้น เพื่อรับมือวิกฤติการณ์ที่อาจจะมีมาหากไม่มีีกติกากำกับอยู่ก่อน เกิดขึ้นเพราะระดับความซับซ้อนของการเกาะกลุ่มสังคมมีมากพอ
ถ้าเรามองว่า รัฐธรรมนูญ คือ DNA ก็จะเทียบเท่าพิมพ์เขียวของสังคมในยุคที่จะมาถึง
สาย DNA เป็นสายมีคู่เกลียวขวั้น สองสายต่างกับ แต่เสริมซึ่งกันและกันพอดี หากรัฐธรรมนูญส่วนที่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นสายที่หนึ่งส่วนที่ไม่ได้เขียน แต่อยู่ในขนบ อยู่ในวิธีคิด วิถีปฎิบัติ ของสังคม ก็จะเป็นอีกสายหนึ่งที่มาเสริมให้ครบคู่
จากจุดนี้ก็เกิดการ expression ออกเป็นกฎ ระเบียบ ในรูปแบบที่หลากหลาย แตกแขนงออกไป จุดตั้งต้นนี้ จะก่อเกิดโครงสร้างของกติกา ที่เอื้อให้เกิดการไหลของกระแสสังคมไปตามทำนบทางรัฐศาสตร์
ส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า รัฐธรรมนูญคล้ายโจทย์คณิตศาสตร์รูปแบบหนึ่ง
โจทย์สมการแบบเดียวกัน กำหนดรายละเอียดไว้แบบหนึ่ง นำไปสู่ convergent (ลู่เข้าสู่ภาวะนิ่ง) เสมอ ในขณะที่กำหนดไว้อีกแบบหนึ่ง ก็จะนำไปสู่ divergent (บานปลายแบบแกว่งสลับ จากสุดขั้วด้านหนึ่ง ไปสุดขั้วอีกด้านหนึ่ง) เสมอ
ตัวอย่างเล็ก ๆ เช่น การที่การเมืองจะไปสู่โครงสร้างพรรคเดียวเบ็ดเสร็จ หรือพรรคคู่ถ่วงดุลแบบเท่าเทียม หรือสหพรรค หรือ สหัสพรรค ล้วนแล้วถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าในตัวรัฐธรรมนูญ โดยจะไม่เป็นอื่น
เช่น อยากให้เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียว ก็ต้องใช้วิธีตีเขตสนามเลือกตั้งตั้งให้เล็กที่สุด ใแต่ละสนาม มีผู้ชนะได้เพียงคนเดียว
การตีเขตให้เล็ก เท่ากับบอกว่า มีแต่ผู้ที่เป็นเบอร์หนึ่ง จึงจะได้ เบอร์อื่น หากด้อยกว่าแม้เพียงนิดเดียว ก็หลุดวงจร
ผลคือ ตัวแทนจะไม่ได้เข้าไปแบบลดหลั่นตามลำดับความนิยม เพราะจะมีแค่คนเดียวผูกขาดตลอดไป แล้วส่งผลต่อเนื่องอีกมากมายที่รู้ ๆ กันอยู่
เมื่อมองแบบมหภาค ตีเขตให้เล็กก็คือมุ่งให้เกิดพรรคการเมืองระดับยักษ์มีความเข้มแข็งขึ้น ระดับเล็ก ให้อ่อนแอลง
หรืออยากให้เป็นหลายพรรค ก็ตีกรอบสนามเลือกตั้งให้ใหญ่ ลงคะแนนเลือกได้หลายตัวเลือก
ก็กลับกัน คือพรรคเล็กเข้มแข็ง พรรคใหญ่อ่อนแอ
ถ้าเขียนไว้อย่างหนึ่ง แต่ไปฝันเอาเองว่าจะได้ผลอีกอย่าง แบบนั้น เป็นการฝันเฟื่อง
คุณ นายบอน!-กาฬสินธุ์ ครับ..