- อ่านแล้วทั้งหิว ทั้งอยากไปนอนนับดาว
- งานนี้ผมต้องโทษ "น้องบ่าว" ยอดชาย นาย ขจิต ฝอยทอง เพียงผู้เดียว
- สักวันจะไปคารวะและสัมผัสไอดินกลิ่นหญ้า ที่อาศรมของ มหาฤๅษี มากความรู้ ความรัก และทานบารมี แห่งแผ่นดินอิสานให้จงได้ครับ ..
Handy เมื่อ ศ. 16 ก.พ. 2550 @ 00:26 จาก 58.8.116.248 ลบ
|
ท่านครูบาฯครับ
เรื่องที่ชวนฉุกคิดวันนี้ สืบเนื่องจากข้อคิดข้างบนของอาจารย์Handy ที่ผมติดตามอ่านการทำหน้าที่ครูสอนเสริมให้สังคมภายนอกตามอัธยาศัยด้วยความชื่นชมและนับถือ ผมแอบเป็นนักเรียนในหลักสูตรตามอัธยาศัยของท่าน มาตั้งแต่รู้จักกันวันแรกในบล็อกแล้วละครับ ผมได้ความรู้ ได้ความคิดมากมาย
คิดอย่างไร ขอเอามาเล่าต่อ เพื่อให้ชาวบล็อกที่อยู่ในวงการศึกษา ได้มาช่วยกันต่อแต้มไต่ระดับแบบมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันดีไหมครับ ที่ชวนเช่นนี้เพราะผมเข้าใจเอาเอง (ไม่ทราบว่าจะถูกหรือผิด) คนไทยกำลังตกอยู่ใต้อิทธิพลของระบบการเรียนรู้ใหม่ ที่เรายังตั้งรับไม่ทันไม่เรียบร้อยมันก็ไหลบ่าเข้ามาครอบงำจนเกิดอาการงงงวย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในระบบการศึกษาไทย ทำไมคำพูดครูบาอาจารย์ไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม จะกระตุ้นเตือนอะไร อบรมอย่างไร ชี้แนะอย่างไร ดูเหมือนกระสุนมันจะด้านไปเสียหมด
ฤๅวิชาครูจะสิ้นมนต์ขลังเสียแล้ว
ผมอยู่กับครูตลอดมา มีทั้งครูประจำการ ครูที่เป็นเพื่อนทางวิชาการ ครูผู้หลักผู้ใหญ่ที่คอยลงปฏักเป็นระยะๆ เรียกว่ามีครูเดินเข้าเดินออกจากหัวใจผมวันละหลายสิบรอบ ทุกคนมาบ่นเสียงเดียวกันว่าวันนี้วิชาครูมันน็อค ถึงจะทุ่มแรงกายแรงใจอย่างไรก็ยิ่งดูเหมือนจะเหนื่อยเปล่า ลูกสาวคนดีผมชื่ออาจารย์ลูกหว้า เธอบ่นให้ฟังอย่างน่าเห็นใจ ลูกศิษย์นัดแล้วไม่มาเรียนทั้งห้อง ตอนแรกเธอโกรธ เพราะตั้งใจไปทำหน้าที่สอนอย่างดีที่สุด เตรียมการสอนไปฟิตเปรี๊ยะ เธอขอเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อที่จะมีพลังไปสอน แต่แล้วความตั้งใจดีก็ต้องทดท้อระทวยใจกลับบ้านอย่างโผเผ ดีว่าบ้านเธอแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย จึงโอบอุ้มอนุบาลความบอบช้ำอิดหนาระอาใจได้บ้าง
นี่เราพูดถึงครูที่ยังยืนหยัดรับผิดชอบอย่างทรหด ยังมีครูดีๆจำนวนมากที่สู้กับทนกับสภาวะแบบนี้ไม่ไหว ภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ อ่อนอกอ่อนใจยกธงขาวยอมแพ้ ยอมถอย มันจะยังไงก็ช่าง เครียด ไม่ไหวแล้ว มันจะเป็นอะไรก็เป็นกัน
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">มีคำถามว่า วันนี้มีครูดีๆเผชิญปัญหาเรื่องการสอนที่ไม่มีการสนองตอบเท่าที่ควรทั่วประเทศสักคน กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน ที่หัวใจครูกำลังท้อแท้ </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">เด็กเบื่อการเรียน ไม่สนใจเข้าห้องเรียน บางทีเบี้ยวอาจารย์ยกห้องอย่างที่เล่ามาแล้ว ตรงนี้คนอื่นอาจจะฟังแล้วผ่านเลยไป แต่ผมคิดว่านี่แหละคือปรากฏการณ์ที่นักการศึกษาควรจะมาตีความ : ว่าจะหาคำตอบเรื่องนี้ได้อย่างไร</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ผู้คนเบื่อหน่ายวิชาการแบบทื่อๆแข็งกระโดก..เมื่อระบบICT.มันเข้ามาก่อกวน ทำให้เกิดสงครามช่วงชิงความสนใจของเด็กระหว่าง “ครูคน” กับ “ครูเครื่อง” กำลังเกิดขึ้นในยุคที่ICT.กำลังมีอิทธิพลครอบคลุมโลก</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">เรากำลังอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างอย่างรวดเร็ว จากระบบที่มีชีวิตจิตใจ ไปสู่ระบบไร้น้ำใจของICT. ทำให้นิสัยใจคอคนไม่ให้ความสำคัญสัมพันธภาพของมนุษย์อีกต่อไป การที่ไม่ต้องแคร์ความรู้สึกของใครดูเหมือนจะโดนใจเด็กยุคนี้อย่างที่สุด เขาเลือกแล้ว และตัดสินใจแล้วที่จะกระโจนลงไปเส้นทางนี้ ครูจะเอาอะไรมาฉุดรั้งเขาไว้ มีเหตุผลไหม อธิบายเป็นรูปธรรมได้ไหม ตรงนี้ละครับเป็นที่มาของบล็อกบทนี้..</p><p> ผมสัญญาตัวเองว่าจะไม่ไปเตะเรื่องการศึกษาแบบเคร่งเครียดอีกต่อไป ผมเคยวิ่งชนกำแพงเมืองจีนจนหัวแบะไม่รู้กี่ร้อยครั้ง พระอาจารย์ใหญ่เห็นว่าจะตายเปล่า จึงหิ้วปีกมาเติมภูมิคุ้มกัน แนะว่าให้เดินในเส้นทางอิงระบบ อย่าเข้าไปเตะระบบจะสิ้นท่าสิ้นชื่อเสียเปล่าๆ ผมจึงมาพิจารณาว่าจะสังคายนาการศึกษาให้หวานชื่นได้อย่างไร ที่ท่านHandy ให้เกียรติยกย่องกันเองว่า มากความรู้ ความรัก และทานบารมี ขออธิบายต่ออีกนิดเดียวครับ ทนอ่านต่อไปหน่อย ผมเห็นว่าแวดวงการศึกษาเครียดมากแล้ว ถ้าจะมาคุยเรื่องการศึกษาแบบแข็งๆทื่อๆเป็นม้าดีดกระโหลก คงไม่มีใครสนใจ </p><p>ผมจึงถอดหัวใจออกมาปูเป็นทางเดินไปหาท่านทั้งหลาย ไปชวน ไปชม ไปผสมความรัก ความสนใจ รับรู้เรื่องทุกข์สุข ชวนให้ยิ้ม แหย่ให้คิด ให้โต้ตอบ เพื่อจะให้หัวใจครูชุ่มชื่นพอที่จะมีกำลังใจลุกไปแสวงหาแนวทางที่ดี ทางออกที่เหมาะสม ตั้งเป็นชมรมครูอกหักเพราะการศึกษาในที่สุด</p><p><div style="text-align: center"></div></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal" align="center">เด็กๆจากโรงเรียนรุ่งอรุณ กทม. มาเรียนวิชาพละศึกษาด้วยการไล่จับลูกหมู สนุกจนเหงื่อโชก</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">อาจารย์จะเห็นว่าส่งที่ผมกำลังกุ๊กกิ๊กอยู่นี่เป็น..</p><ul>
</ul><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">เรื่องนี้ดูเหมือนเล็กๆ แต่ในเชิงโครงสร้างเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องการความรู้ ความสามารถจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะความรักและน้ำใจของไทยทั้งผอง ผมทำหน้าที่เป็นเพียงกาวใจกระป๋องเล็กๆ กาวใจเล็ก จะไปปิดแผลใจขนาดใหญ่ได้อย่างไร?</p><p class="comment_item" align="justify"> </p>
ผมก็กำลังคิดว่าน่าจะถอยมาตั้งหลักใหม่ครับ
เดินหน้าไปแบบไม่มีความหวังเห็นท่าจะเหนื่อยเปล่านะครับ
ขอคิดหน่อยครับว่าจะถอยอย่างไรดีครับ
เพิ่งกลับจากไปแอบดู อ.ขจิต สอนภาษาอังกฤษให้เด็กโรงเรียนเม็กดำ ได้ความคิดว่า..
ถ้าต้องการเห็นการศึกษารุ่งเรืองก้าวหน้า บุคลากรการศึกษาต้องลงทุน ลงแรง ยอมเหนื่อยเพื่อเด็กๆลูกศิษย์อีกมากนัก
คงเหมือนกับชาวไร่ชาวนา การที่จะได้ผลผลิตดีเขาต้องยอมเหนื่อยยาก ทำการเพาะปลูกด้วยความมานะพยายามอย่างยิ่ง
การศึกษาก็เช่นเดียวกัน ถ้าครูไม่ลงทุน ลงแรงใจ ยอมเหนื่อยเพื่อศิษย์อย่างทุ่มเทแล้ว การศึกษาไทยจะไปแข่งกับประเทศอื่นได้ยาก
ซึ่งก็มีตัวอย่างดีๆ ที่ครูมาช่วยครู เพื่อนครูยอมเหนื่อยยากจัดกิจกรรมดีๆเสริมให้ลูกศิษย์ได้รับโอกาสที่ดี นอกเหนือจากการจัดเรียนสอนเสริมพิเศษเช่นที่เป็นอยู่ทั่วๆไป
ตามที่ท่านเล่าฮูให้ความเห็นมา มันเป็นอย่างนี้ครับ
เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ อาการนี้หนักว่าการคิดที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังอีกครับ
นาง อัมพร อรุณศรี เมื่อ ศ. 16 ก.พ. 2550 @ 14:22 จาก 202.12.74.8 ลบ |
สังเกตจากหน้าตาอนาคตของชาติ ในภาพช่างเปี่ยมไปด้วยความสุขและรอยยิ้มแห่งการได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริงค่ะ หากสามารถเปิดเสียงหัวเราะเด็ก ๆ คงได้ยินเสียงหัวเราะใส ๆ ของเขาเหล่านั้นนะคะ พ่อครูฯ
ถ้าจัดการศึกษาเข้าไปในชีวิต มองว่าชีวิตคือการศึกษา กริยาท่าทางก็จะเป็นอย่างที่อาจารย์ชอบใจ แต่ครูต้องยอมแลกกับความเหนื่อย เพื่อมอบสิ่งที่ดีงามให้ลูกศิษย์ การสอนให้เด็กยิ้ม และหัวเราะในระหว่างการเรียนรู้ ถือว่าเป็นสุดยอดของฝีมือครูครับ ผมก็อยากเห็นเช่นเดียวกับอาจารย์
ต้องใช้ผ้าห่มชุบน้ำบ่อ ถึงจะดี
เรียนครูบา
มารายงานตัวแล้วค่ะ การเรียนการสอนเดี๋ยวนี้ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ และต้องศึกษาด้วยว่าเด็กที่เราสอนเป็นแนวไหน เช่นสมมติว่า ถ้าที่เรียนเป็นเด็กการตลาด ถ้าวิชาทีสอนเป็นเรื่องที่หนัก ก็พยายามหามุกตลก หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้ามาแทรกและให้เด็กแสดงความคิดเห็น แต่ต้องเป็นเรื่องที่ไกลตัวกับเรื่องที่เรียน เพราะเด็กจะได้เห็นชัดเจน ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ