ด้วยความเป็นเด็กสุดทำให้สงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ
ในเวทีเตรียมประชุม "กรอบการทำงานร่วมกันเพื่อการวิจัยและพัฒนาเชิงพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และจังหวัดลำปาง" โดยสำนักประสานงานและพัฒนาเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง สกว. สถาบันบริหารการวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยนเรศวร ในวันที่ 1 - 2 มีนาคม 2550 ซึ่งเมื่อวานนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2550) ทางคณะผู้ประสานงาน ได้ลงมาหารือพูดคุยในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร โดยได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องจาก 4 ภาคส่วน คือ ภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ผมไปในฐานะภาคเอกชนร่วมกับพี่สาวอีกคนหนึ่ง เข้าไปที่ห้องประชุมบรรยากาศก็สบายๆ ไม่มีอะไรเป็นทางการแต่อย่างใด ผศ.ดร.เสมอ ถาน้อย ผู้อำนวยการสถาบันบริหารการวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึงที่มาที่ไป ของโครงการสำนักประสานงานการวิจัยและพัฒนา เฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง สกว. ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นการพัฒนาความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ สังคม ของจังหวัดจากฐานภาคในอย่างยั่งยืน ครอบคลุม 5 มิติ คือ
- แก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสังคมในพื้นที่
- เสริมสร้างเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างจังหวัด และประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดต่อกัน
- สร้ามเชื่อมโยงเชิงสร้างสรรค์ระหว่างภาคเศรษฐกิจสมัยใหม่กับภาคเศรษฐกิจท้องถิ่น
- พัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา และสุขภาวะของคนในพื้นที่
- จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ซึ่งพื้นที่เป้าหมายได้เน้นระดับจังหวัด และกลุ่มจังหวัด ในเขตภาคเหนือตอนล่าง 9 จังหวัด (เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี) และจังหวัดลำปาง โดยมีวิธีการดำเนินงาน ด้วยการสร้างความร่วมมือ ปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาคี ภาคประชาชน เอกชน รัฐบาล และวิชาการ ในการเป็น "เจ้าของ" ทิศทางการพัฒนาร่วมกัน เพื่อให้เกิด "กลไกการจัดการ" และมีการกำหนดโจทย์ แบบมีส่วนร่วมกันทุกภาคี ซึ่งต้องการข้อมูลพื้นฐานของพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นเชิงประจักษ์ หรือเชิงปริมาณในทุกๆด้าน เพื่อให้เห็นความเชื่อมโยง
มี 4 สเต็ปส์ ในการพัฒนาโจทย์วิจัยเฉพาะพื้นที่ คือ
1.สร้างความเข้าใจ และหาทิศทางร่วมกัน
2.ค้นหาประเด็นวิจัย และกำหนดกรอบ/แผนงานวิจัยของพื้นที่
3.Call for Proposal ตามกรอบ/แผนงานที่กำหนด
4.ให้นักวิจัยนำเสนอโครงร่างให้กับ User
จากการประชุมภาพใหญ่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร และติดตามมาพูดคุยกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ เรียบร้อยแล้ว จึงได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาหารือเกี่ยวกับการจัดกระบวนการ พร้อมกันนี้ทาง ดร.เสมอ ก็ได้ยกตัวอย่างกรณีที่ได้ลงไปจัดกระบวนการที่จังหวัดสุโขทัยให้ฟังด้วย
ร่ายยาวมาทั้งหมดของเวทีที่จะจัดก็เพื่อให้ได้
"กรอบแผนงานวิจัยของพื้นที่"
จากนั้นก็มีการประชาสัมพันธ์ให้นักวิจัยในพื้นที่ที่สนใจ เสนอกรอบการวิจัยเพื่อทำงานต่อไป ซึ่งคิดว่า ทาง สกว.จะมีทุนสนับสนุนต่อเนื่องประมาณ 3 ปี โดยยังไม่ได้กะเกณฑ์เพดานงบประมาณ เพียงแต่ให้นำเสนอมาก่อน
อย่างที่เกริ่นไว้แรกเริ่มที่ว่า ผมเป็นเด็กสุด(ไม่ใช่สิ อายุน้อยสุด) ในเวทีทำให้กระอักกระอ่วนที่จะพูดพอสมควร อธิบายง่ายๆก็คือ พูดไม่ออกเลย เกรงไปหมด ก็แหมรอบข้างรอบเอง นักวิชาการ ข้าราชการทั้งนั้น (จริงๆแล้วผมคิดไปเองนั่นแหล่ะ ไม่กล้าแสดงความคิดพูดคุยเอง) ครั้งนี้เลยขอเป็นผู้ฟังที่ดีดีกว่า (ปกติก็จะเป็นผู้ฟังอยู่แล้ว ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ว่ากันไป) ฟังๆดูแล้วแต่ละคนที่นำเสนอแลกเปลี่ยน ในการดำเนินงานเกรงอยู่ 2 เรื่อง คือ กลุ่มเป้าหมาย(การกระจายพื้นที่) และ ประเด็นกรอบการทำงาน (กลัวว่าจะโน้มเอียงไปไม่กี่ประเด็น) การพูดคุยเรียกได้ว่าดุเด็ดเผ็ดมันกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงที่คุณหมอท่านหนึ่งใน สสจ.พิจิตร แลกเปลี่ยน โอ้โห ทั้งห้องเงียบกริบ ด้วยประสบการณ์ของท่านประเด็นที่สะท้อนออกมาจึงน่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่ที่ผมฟังๆดูผมคิดมุมต่าง มองว่าไม่ว่าที่นักวิชาการจะนำเสนอวิธีการ รูปแบบอะไรยังไง เนื้อหาสาระกระบวนการทำงาน มันก็ยังมีจุดแข็งจุดอ่อนในตัวอยู่แล้วด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่แต่ละคนเสนอความเห็นมามันสะท้อนความเป็นตัวตนมากไปหน่อย ใครคิดอะไรได้ก็โยนตู้ม โยนตู้ม โดยลืมตัวหยุดคิดใคร่ครวญก่อนจะพูด เรียกได้ว่าเป็นการสวมวิญญาณนักวิชาการมืออาชีพกันเต็มที่ พอพูดจบก็ดูเหมือนสบสันในความคิดตัวเองยังไงชอบกล ชอบพูดวกไปวนมา ทำให้ผู้ฟังงงไปซะอย่างนั้น อะก็ว่ากันไป แต่ถ้ายังคิดเปรี้ยงทำเปรี้ยงอยู่อย่างนี้ บอกได้เลยว่า "แมนไม่ปลื้มเลยนะครับ" แต่ถ้าพูดถึงในแง่ที่ว่าเป็นสีสันของการประชุม ก็ไม่เลวเลยทีเดียวนะ เพราะถ้าไม่มีใครพูดคิดเห็นลักษณะแบบนี้เวทีประชุมก็คงจะจืดชืดน่าดู งั้นก็ขอแบบพอดีๆก็พอ มากไปคนที่ว่าจิตใจมั่นคงก็เป๋ได้เหมือนกัน มาร่วมทำงานแล้วเครียดก็คงไม่มีใครเอาด้วยเช่นกันนะ
อยากขอร้องนักวิชาการอยู่ 2 เรื่องครับ (ถ้าอยากให้ผู้ฟัง ผู้เข้าร่วม ประทับใจนะ) คือ 1.พูดให้น้อย กระชับได้ใจความ เสริมกำลังใจแนวทางการทำงาน ตั้งท่าจะขัดขาอย่างเดียว คนทำงานมันท้อ ไม่อยากทำงานร่วมด้วยหรอก 2.ฟังให้มาก รวบยอดความคิดแล้วเสนอแนะทางบวกดีกว่า ดีกว่าเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง มองแต่จุดด้อยเล็กๆแล้วขยายความเป็นเรื่องใหญ่
รอติดตามดูนะครับว่า วันที่ 1 - 2 มีนาคม 2550 กรอบแผนงานพัฒนาจะออกในรูปแบบไหน อย่างไร แล้วผมจะนำมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ
ไม่มีความเห็น