โหมงานจนเสียศูนย์


การป่วยทำให้ชีวิต เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง...
ร่างของเขาหมุนคว้างอยู่ในกระแสน้ำเชี่ยว มันเหวี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างลงไปสู่ศูนย์กลางของวังวนที่บิดเป็นเกลียวอย่างบ้าคลั่ง เขาพยายามตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่แรงฉุดมหาศาลกระชากแขนขาอันอ่อนเปลี้ยให้จมลงไป ดิ่งลึกลงไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด...มันต้องเป็นฝันร้าย แค่ฝันร้ายแน่ๆ เขาพร่ำบอกกับสติอันเลือนลางของตัวเองก่อนรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายโผล่พ้นทะเลบ้าในความฝันอย่างช้าๆ

เขาลืมตาขึ้นด้วยความมึนงง ความกลัวจากฝันร้ายเมื่อครู่แล่นเข้าจับจิตใจอีกครั้ง เขานอนหลับอยู่ที่ไหนกันนี่ ทุกสิ่งทุกอย่างขาวโพลน และเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง เขาพยายามขยับตัวและส่งเสียงร้อง แต่โลกรอบตัวกลับหมุนโยกเยก ความเจ็บปวดในศีรษะจู่โจมขึ้นมาทันที พลันสติสัมปชัญญะดับวูบลงอีกครั้ง

เสกสรร พันธุ์รัตน์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่กลายเป็นจริงด้วยน้ำเสียงปกติ เหมือนเขานั่งมองมันในระยะที่ปลอดภัยแล้วในขณะนี้ ห้าปีที่ผ่านมาหลังจากเส้นเลือดในสมองแตก ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปเกือบทุกด้าน หลายสิ่งสูญหายไป ในขณะที่ได้คืนมากับบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าทัดเทียมกัน เขายังคงทำงานแห่งเดิมก่อนเกิดอาการเจ็บป่วยคือที่ศูนย์บริการสื่อการศึกษา ของหอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ร่างกายจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เหมือนเดิม แต่เสกสรรเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอย่างตั้งใจ นักศึกษาที่ไปค้นข้อมูลจากไมโครฟิล์มหรือสื่อวีดิทัศน์ต่างๆ รู้ดีว่าจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มใจและกระตือรือร้นจากเขา

เรื่องร้ายเกิดขึ้นในขณะที่เขาอายุเพียง 28 ปี ซึ่งสภาพร่างกายแข็งแรงเต็มที่ เสกสรรทำงานในฝ่ายภาพ เขามีความสุขกับการแบกกล้องวีดิโอตระเวนไปถ่ายทำสารคดีตามต่างจังหวัด เรียกว่ายิ่งลุยเท่าไหร่ยิ่งชอบ

นอกเหนือจากงานประจำแล้ว เขายังรับงานถ่ายภาพกับเพื่อนๆ อีกหลายอย่าง ไม่เว้นแม้แต่งานเล็กงานน้อย

ความประมาทเป็นที่มาของหายนะเสมอ เสกสรรไม่เพียงแต่ทำงานหนักเท่านั้น เขายังเจียดเวลาไปเรียนต่อปริญญาโทอีกด้วย จังหวะชีวิตช่วงนั้นจึงเต็มเอี้ยดไปด้วยภาระหน้าที่แทบหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ คนถึงวันที่ร่างกายทนไม่ไหว และโชคร้ายที่มันประท้วงขึ้นด้วยอาการรุนแรง

"ก่อนไม่สบาย รับงานถ่ายสารคดีของหน่วยงานหนึ่ง แล้วก็ไปเก็บงานที่เชียงใหม่ 10 วัน แล้วก็ไปต่อทางใต้อีก 7 วัน ไปอยุธยาต่ออีก 5 วัน ไม่ได้พักเลย

หลังงานหนักผ่านไปเขามีอาการไม่สบาย เริ่มจากปวดหัว ปวดลามมาถึงท้ายทอยและกล้ามเนื้อไหล่จนเอี้ยวตัวไม่ได้ เสกสรรลาหยุด 1 วัน หวังจะฟื้นฟูพลังงานกลับคืนมา เพราะคิดว่าเหมือนทุกครั้งที่กินยาแก้ปวดและนอนพัก อาการน่าจะหายไป แต่เรื่องกลับร้ายแรงยิ่งกว่านั้นมาก

"นอนแล้วตื่นมาก็ยังไม่หาย เลยไปหยิบยามาอีก 2 เม็ด ก็ยังไม่หาย อยู่ๆ มันก็แปลบขึ้นมาเลย เหมือนไฟฟ้าลัดวงจร มีแสงในตาวิบๆๆๆ เหงื่อออกเต็มตัว พอมันมีแสงแวบๆๆๆ สักพักเริ่มรู้สึกไม่ไหว หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย"

มาฟื้นคืนสติที่โรงพยาบาล ในห้องไอ.ซี.ยู ที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยาง และเต็มไปด้วยความหดหู่ เพราะคนใกล้ชิดทุกคนที่มาเยี่ยมต่างมีสีหน้าไม่สบายใจ บ้างก็ร้องไห้จนเขาใจเสีย แต่ไม่มีใครปริปากบอกเขาถึงเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น ได้แต่ปลอบใจว่าเป็นเพราะเราโหมงานหนัก ร่างกายจึงรับไม่ไหวเป็นธรรมดา อีกไม่นานคงคืนสู่ปรกติ

"ลึกๆ เรารู้ว่ามันต้องเป็นหนัก เพราะตัวมันหมุนเหมือนโลกหมุนอยู่ตลอดเวลาแล้วขยับตัวไม่ได้เลย เหมือนจะเป็นอัมพาต แม้จะรู้สึกตัว แต่ขยับไม่ได้ มือไม้อ่อนแรง ตอนหลังต้องถามหมอเองว่าผมเป็นอะไร หมอจึงบอกว่า เส้นเลือดในสมองแตก แล้วคุณต้องผ่าตัดด้วย เพราะเส้นเลือดบริเวณหน้าผากคุณอุดตันด้วย"

การผ่าตัดจึงต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทำได้เฉพาะเส้นเลือดบริเวณหน้าผากเท่านั้น

"หมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองแตกมันมีหลายเคส ที่เกิดขึ้นได้ทั่วๆ ไปคือเส้นเลือดฝอยที่ข้างสมอง ของเราจะเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่เข้าไปเลี้ยงสมอง ถ้าจะผ่าตัดจริงๆ ในตอนนั้นต้องไปทำที่อเมริกา เสียค่าใช้จ่ายเกือบล้าน"

ด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้การรักษาเส้นเลือดที่แตกทำได้แค่เพียงใช้ยาฉีด ส่วนเส้นเลือดที่หน้าผากซึ่งตรวจพบด้วยคลื่นไฟฟ้าว่ามีการอุดตัน สามารถแก้ไขด้วยการผ่าตัดที่เป็นไปได้

ผ่านการผ่าตัดครั้งนั้นมาด้วยดี เสกสรรทุเลาอาการปวดหัวลง แต่อ่อนแรงและขยับตัวไม่ได้เหมือนเดิม ที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดคือรูปลักษณ์ของเขา ภาวะเส้นเลือดใหญ่ในสมองแตกทำให้ใบหน้าซีกขวาของเขาเคลื่อนไหวได้น้อยมาก ตาข้างขวาเบิกกว้างเหมือนลืมตาอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับหูขวาที่ได้ยินไม่ชัดเจน แม้หลังผ่าตัดจะดีขึ้นบ้าง แต่แน่นอนว่าประสาทสัมผัสทั้งสองจุดไม่อาจคืนมาเหมือนเดิม 100 เปอร์เซ็นต์

เขาใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลอีกเกือบสามเดือน ร่างกายซีกซ้ายคือส่วนที่ยังควบคุมไม่ได้ ตลอดร่างจึงปวกเปียกเหมือนเด็กอ่อน

"ประมาณเดือนที่สอง ช่วงที่ใกล้จะออกจากโรงพยาบาลถึงเริ่มฟื้นตัว เริ่มพลิกตัวได้ แล้วค่อยๆ นั่งได้ ต้องทำกายภาพบำบัดทุกวัน เริ่มกันใหม่เหมือนเด็ก หัดนั่ง หัดเดิน หมอบอกว่าไม่น่าเชื่อว่าจะดีขึ้นขนาดนี้ บางรายที่เป็นเหมือนเรายังพูดไม่ได้เลย คือถ้าเป็นคนสูงอายุคงตายไปแล้ว เพราะมันเป็นจุดที่อันตรายมาก"

จุดเปลี่ยนของชีวิตเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เสกสรรแทบไม่ได้ตั้งตัวกับมรสุมครั้งนี้ จากคนหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรง พร้อมพรั่งทั้งงานที่กำลังก้าวหน้า และชีวิตส่วนตัวซึ่งกำลังไปได้สวย สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ เลือนจางไปเหมือนฝันร้าย เปลี่ยนตั้งแต่รูปลักษณ์และสุขภาพ ทำใจได้ยากยิ่งนัก

"ตอนแรกที่อยู่โรงพยาบาลจะขอดูกระจก แต่ไม่มีใครให้ดูเลย เข้าห้องน้ำผ่านกระจก แม่จะเอาผ้ามาปิดไว้ เราเริ่มคิดแล้วว่าตัวเองต้องอยู่ในสภาพที่แย่ สังเกตง่ายๆ เวลาที่มีพยาบาลเดินผ่าน เราก็มองตามประสาผู้ชาย ยิ้มให้เขาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไป เขากลับมองเราแปลกๆ ตอนนั้นเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันอะไรกัน จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน ได้ดูกระจกที่บ้านถึงได้รู้ว่า โอ้โหนี่เราเปลี่ยนไปตั้งเยอะ ช่วงแรกๆ ตาไปคนละทางเลยนะ ที่เห็นตอนนี้คือผ่าตัดแล้ว"

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายถาโถมเข้ามาอย่างตั้งตัวไม่ติด แต่เรื่องที่สร้างความร้าวรานให้มากที่สุดคือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคู่รักเขาต้องจบลง

"เหงามาก คนที่เคยคุยภาษาเดียวกับเราเขาไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนั้นเครียดและจิตใจแย่มาก เลยไม่อยากอยู่แล้ว คิดฆ่าตัวตาย เอาเหล้ามาผสมกับยานอนหลับแล้วกินเข้าไป คิดว่ายังไงก็เรียบร้อยแน่"

แต่เขาโชคดี ผู้หญิงในชีวิตของเขาอีกคนยังอยู่กับเขา รักเขา และดูแลให้พ้นจากความตายในเหตุการณ์ครั้งนี้ สำหรับคนที่เคยเฉียดความตายมาแล้ว เสกสรรเริ่มมองดูเคราะห์กรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาด้วยมุมที่ต่างออกไป

"ครั้งนั้นเราเริ่มคิดได้ คิดว่าการตายไม่ยากเลย แค่คิดสั้นๆ แล้วทำมันลงไป แต่ผลที่ตามมาล่ะ แม่ต้องร้องไห้ คนที่รู้จักเราเขาต้องด่าเราแน่ๆ ที่คิดอย่างนี้ เออ...เลิกเหอะ ไม่เอาละ พอดีกว่า คิดว่าตัวเองน่าจะทำอะไรที่ดีกว่านี้ ในเมื่อมีใครบางคน(ข้างบน)เห็นว่าเราไม่ควรตายเราก็ควรอยู่ต่อไป อีกอย่างอายคนอื่นด้วย ก็เลยลุกขึ้นมาแล้วเปลี่ยนใหม่"

ท่ามกลางความเจ็บปวดทั้งหลาย เขาเริ่มทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เขาค่อนข้างแน่ใจว่า "ความเครียด" เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคร้ายนี้ เสกสรรมาจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่นนัก   ในวัยเด็ก พ่อกับแม่มักมีปากเสียงกัน โดยที่เขาต้องระหกระเหินมาอยู่กับพ่อทีกับแม่ที จนสุดท้ายพ่อกับแม่ก็แยกทางกัน พื้นฐานครอบครัวลักษณะนี้ ทำให้เขาเป็นคนเก็บตัวและมีแนวโน้มที่จะสะสมความเครียดจากปัญหาต่างๆ ไว้เพียงลำพัง

"เป็นคนค่อนข้างเก็บกด อย่างถ้าเป็นคนอื่น ถ้ามีปัญหาเขาจะขอคำปรึกษาจากใครๆ แต่เราจะคิดคนเดียว อาจจะเพราะเราเกิดมาในครอบครัวที่ไม่อบอุ่นนัก ก็เลยทำให้เป็นคนช่างคิดหรืออย่างเรื่องงาน เราเป็นคนชอบที่จะให้มันออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ อยากให้มันดีที่สุด ก่อนจะป่วย บางทีทำงานไม่ได้นอนเป็นวันๆ "

ด้วยความเครียดและการโหมงานหนัก จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ทำให้เขาล้มป่วยลง

"สุดท้ายเลยกลับมาเริ่มคิดว่า ...โรคทั้งหลายที่เป็นอยู่เราปลงได้... พอปลงหมดก็มาคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องของเวรกรรม คิดอย่างนี้ได้ก็สบายใจนะ คิดว่าเราน่าจะมารักษาทางใจมากกว่า"

จุดเปลี่ยนที่แท้จริงของชีวิตเริ่มจากตรงนี้ต่างหาก เสกสรรดำเนินชีวิตให้ช้าลง แต่ลึกซึ้งกับรายละเอียดต่างๆ ให้มากขึ้น ด้วยวิธีการเหล่านี้ ทำให้เขาค้นพบคุณค่าของหลายสิ่งที่มองข้ามไป เพื่อนดีๆ หลายคนที่ไม่เคยทิ้งกันแม้ยามยาก

เสกสรรเล่าถึงพี่คนหนึ่งที่ปลุกให้เขาลุกขึ้นมาสู้กับความเป็นจริงว่า "มีพี่ที่รู้จักกันคนหนึ่ง ทำงานอยู่ที่เดียวกัน แกขาเสีย เพราะรถคว่ำ ต้องนั่งรถเข็นตลอด พอเราไม่สบาย พี่เขาก็ไปเยี่ยม พูดแล้วยังสะเทือนใจไม่หาย เรานอนอยู่ พี่เขาเข้ามาหาแล้วพูดกับเราว่า ' เอก...ลุกขึ้นมา ' ตอนนั้นคอเรายังเป็นนกอยู่เลย เขาบอกให้พี่หลายคนช่วยกันจับเรานั่งรถเข็นแล้วพาเราออกไปข้างนอก ไปดูโลกสวยๆ ข้างนอก"

หนังสือหลายเล่มที่ไม่เคยหยิบจับ เขากลับได้แง่คิดจากมันอย่างที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน "เราเปลี่ยนไปนะ อ่านหนังสือของกฤษณะมูรติ เขาบอกว่า ถ้าเราร้องไห้เพื่อตัวเราเอง แสดงว่าคุณเป็นคนเห็นแก่ตัวมากเลย มัวแต่มองตัวเอง คิดว่าตัวเองแย่ แล้วจะทำอะไรไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้เคยอ่านเหมือนกันนะ แต่เข้าใจแบบผิวเผิน ไม่สะกิดใจอะไรมาก เข้าใจแต่พวกบทกวีที่ซาบซึ้งเรื่องความรัก"

เสกสรรยังค้นพบว่าสิ่งที่ช่วยเยียวยาเขาได้ดีที่สุดคือเรื่องงาน "คิดว่างานนี่แหละคือชีวิตเรา รู้สึกว่าถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมดแล้ว แต่ถ้าเผื่อเราทำตัวให้มีคุณค่ามากขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนมันไม่มีความหมายอะไร หรือการได้พูดคุยกับใครก็ตามแม้แต่คนแปลกหน้า เราจะฟังเขามากขึ้น พยายามจดจำรายละเอียดของเขาให้มากที่สุด อยากทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น ซึ่งเราไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน"

ตาข้างขวาของเสกสรรเปิดกว้าง มันปิดไม่ลงแม้ในยามหลับ การเดินและการเคลื่อนไหวร่างกายของเขาต้องอาศัยไม้เท้าพยุงกาย แต่เขายอมรับมันได้แล้ว และพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อจะอยู่กับมันอย่างเป็นจริง แม้ตาขวาของเขาจะรับภาพได้อย่างพร่าเลือน แต่เขากลับเห็นโลกนี้ได้ชัดเจนขึ้น ด้วยดวงตาภายในที่เปิดกว้างเช่นเดิม

คัดกรองจาก นิตยสาร ชีวจิต

หมายเลขบันทึก: 78648เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2007 08:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 01:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท