ผมเคยถามพ่อว่า ทำไมตั้งชื่อพวกเราว่า “บุญ” นำหน้าทุกคน แต่ละคนก็ชื่อเชย ๆ ทั้งนั้น เวลาไปเรียนหนังสือในเมืองมักถูกเพื่อน ๆ ล้อเลียนเป็นประจำ จะว่าตั้งชื่อให้สอดคล้องกับชื่อของพ่อแม่เหมือนกับหลาย ๆ ครอบครัวเขาทำกันก็ไม่ใช่ เพราะพ่อผมชื่อ “ถนอม” แม่ชื่อ “สังเวียน” ไม่เห็นใกล้เคียงกับคำว่า “บุญ” สักหน่อย ได้รับคำตอบว่าพ่อแม่ลำบากมามาก อาจมีเวรมีกรรมแต่ชาติปางก่อน จึงไม่อยากให้ลูก ๆ ลำบากเหมือนพ่อแม่ เลยตั้งชื่อลูก เอาเคล็ดว่า “บุญ” จะได้เป็นคนใจบุญใจกุศล เป็นมงคลแก่ตัวเอง
แต่ผมก็ยังไม่เห็นมีพี่น้องคนไหนเป็นอย่างที่พ่อต้องการสักคน บางคนกลับสร้างบาปเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะตัวผมที่ชอบยิงนกตกปลา ล่าสัตว์มาตั้งแต่เด็ก ๆ มาคิดได้ก็เมื่อโตเป็นหนุ่มแล้ว
ผมเข้าใจว่าพ่อเองก็คงได้รับอิทธิพลจากคนในหมู่บ้านด้วยที่ชอบตั้งชื่อลูกนำหน้าว่า “คำ” “ทอง” หรือ “บุญ” เช่น คำปุ่น ทองมี เป็นต้น เมื่อตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาผมเคยขอพ่อเปลี่ยนชื่อ กลับถูกพ่อดุเอาทุกครั้งโดยไม่บอกเหตุผล ผมคิดเอาเองว่า พ่อคงกลัวเสียระบบที่อุตส่าห์สร้างมาด้วยความภาคภูมิใจ
เป็นธรรมเนียมของลูกคนกลาง ๆ อย่างผมที่มักจะถูกใช้งานสารพัดอย่าง พอเริ่มจำความได้ผมก็ถูกใช้ให้เลี้ยงน้องทั้งสองคน โตขึ้นหน่วยก็ถูกเคี่ยวเข็ญให้ทำงานทั้งในบ้านและในสวน จับจอบ จับเสียม หาบหาม จนมือด้าน บ่าด้านมาตั้งแต่เด็ก
พี่น้องผมทุกคนรูปร่างสูงใหญ่ อ้วนท้วนเหมือนพ่อ มีผมคนเดียวที่รูปร่างหน้าตา ค่อนมาทางแม่ ทั้งผอมเกร็ง สูงโย่ง ชาลีบ หัวเข่าโปน จนมักจะถูกเรียกจากผู้ใหญ่ว่า “ขาตะเกียบ” หรือ “กุ้งแห้งเยอรมัน” ตอนมาอยู่โรงเรียนก็ถูกคุณครูท่านหนึ่งเรียก “สตีฟลีบ” โดยล้อเลียนชื่อ “สตรีฟรีฟ” ชายงามนักกล้ามของโลกผู้โด่งดังในสมัยนั้น ผมถ่ายรูปตัวเอง ตนเป็นเด็กไว้ไม่กี่รูป เวลาหยิบรูปถ่ายเหล่านั้นมาดูครั้งใด ผมต้องรีบวางทุกครั้ง เพราะทนสมเพชตัวเองไม่ได้ และพยายามเก็บอย่างมิดชิดไม่ให้ใครเห็น
แต่ถึงกระนั้นผมก็เป็นเด็กที่แข็งแรง ไม่ค่อยจะเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร สามารถหาบน้ำเต็มปี๊บได้ตั้งแต่อายุ 11 ปี ในหน้าแล้งน้ำที่บ่อหน้าบ้านแห้งขอด ต้องไปหาบน้ำจากวัดบ้านยาง มาดื่มมาใช้ ระยะทางไป - กลับตกราว ๆ กิโลเมตรเห็นจะได้ บางวันต้องหาบถึง 2 หรือ 3 เที่ยวก็มี ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน
เมื่อพี่บุญวังเรียนจบมาเป็นครู ก็กะเกณฑ์ให้น้องชายทุกคนเรียนหนังสือ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพ่อแม่ ใจจริงผมไม่อยากเรียนต่อหรอก ก็คงคิดเหมือนเด็กชนบททั่ว ๆ ไป ที่เรียนแค่ประถมปีที่ 4 ก็เบื่อจะแย่ แถมยังตื่นกลัวชีวิตในเมือง กลัวที่ต้องปรับตัวกับเพื่อนใหม่ ครูคนใหม่ ยิ่งเป็นเด็กมาจากบ้านนอก ชื่อก็แสนเชย คงถูกล้อเลียน ข่มเหง รังแกเป็นแน่ ผมคิดไปต่าง ๆ นานา
แต่อีกใจหนึ่งก็เบื่อทำงานที่บ้าน ที่สวน ไปโรงเรียนก็ดีอย่าง จะได้หลบเลี่ยงงานได้บ้าง ผมเริ่มสับสนกับความต้องการของตนเอง แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่มีสิทธิ์เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว ในที่สุดก็หนีไม่พ้นสักอย่าง ต้องเรียนตามบัญชาของพี่บุญวัง และก็ต้องทำงานบ้าน งานสวนหลังเลิกเรียนและวันหยุดไม่เว้นแต่ละวัน ต้องแบกภาระทั้งสองอย่างหนักกว่าแต่ก่อนเสียอีก
...ผมยังแปลกใจจนถึงวันนี้ว่า ผมสามารถเรียนจนจบออกมาเป็นครูได้อย่างไร...สวัสดีค่ะ อาจารย์ ... เรื่องของอาจารย์น่าจะเขียนเป็นหนังสือได้เลยนะคะเนี่ย ...
มีน้องชายของหนูคนนึงที่เมื่อก่อนตอนเล็กๆ จะคล้ายๆอาจารย์คือ ตัวผอม ไม่ค่อยแข็งแรง แขนขายาวเก้งก้าง ต่อมาเมื่อโตเป็นหนุ่ม กลับกลายเป็นคนที่สูงใหญ่ สูง 180 ซม. หนักเกือบ 100 กก. แหน่ะค่ะ
จริง ๆ แล้วไม่น่าอายที่เด็กๆ เคยผอมแบบนั้น แสดงว่าชีวิตเรามีพัฒนาการไปในทางที่ดีนี่นา น่าภูมิใจออกนะคะ
สวัสดีค่ะครูธเนศ