อย่างไรก็ตาม ยังคงมีชาวลาหู่อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองใดๆ เป็นกลุ่มที่อพยพโยกย้ายแสวงหาที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์ไปเรื่อยๆ ตามวิถีของคนบนพื้นที่สูง คนกลุ่มนี้สัณนิษฐานว่าได้เดินทางเข้ามาบริเวณหัวเมืองล้านนาก่อนคริศตวรรศที่ ๑๙ ตามหลักฐานอ้างอิงของกรมประชาสงเคราะห์ที่ได้จากการสัมภาษณ์ชาวลาหู่อำเภอเวียงป่าเป้าและอำเภอแม่สรวย, หนังสือ People of the Golden triangle ของเอเลน และลูอิล,บันทึกการสำรวจของ Walker, Schrock และบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ กลุ่มที่อพยพเข้ามาแรกเริ่มคือ ชาวลาหู่แดง ลาหู่ เฌเล ลาหู่บาเกียว ที่นับถือเทพเจ้าหงื่อซา ต่อมาหลังจากปี พ.ศ.๒๔๙๗ ได้มีลาหู่ดำ และลาหู่ บาหลานับถือศาสนาคริสต์ทยอยกันเข้ามาอีกระลอก การแต่งกายของชาวลาหู่ ผู้หญิงสวมเสื้อแขนยาว เอวลอยสีดำ สลับแถบสีที่แสดงถึงกลุ่มย่อยของตนเองตรงบริเวณแขนเสื้อ (ลาหู่ญี-สีแดง, ลาหู่ลาบา-สีเหลือง, ลาหู่นะ-สีดำล้วน) ส่วนลาหู่แชแลสวมเสื้อคลุมยาวถึงตระโพกสีเขียวและสีน้ำเงิน ชายชาวลาหู่สวมเสื้อแขนยาวสีดำสลับสีแดงติดกระดุมป้าย ชาวลาหู่นิยมตั้งชุมชนอยู่บนพื้นที่สูงตั้งแต่ ๑,๒๐๐ เมตรขึ้นไปเหนือระดับน้ำทะเล (พอลและอิวาล ลูอิส, ๒๕๒๘ :๑๘๖) ปลูกสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่ มุงหญ้าคา ยกพื้นสูง บ้านหนึ่งหลังจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่และลูก ชาวลาหู่มีการนับถือเครือญาติทั้งสองฝ่าย ไม่มีระบบการสืบเชื้อสายแบบแซ่สกุล โดยจะนับความเป็นเครือญาติใน ๓ ระดับ คือ ปู่ยาตายาย ลูก และหลาน เนื่องจากความเป็นอิสระของครัวเรือนที่ไม่ค่อยยึดติดกับเครือญาติ ทำให้ชาวลาหู่สามารถอพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่อื่นในยามที่เกิดเหตุการณ์คับขันเช่น เกิดความขัดแย้ง การขาดแคลนที่ทำกิน และย้ายกลับมายังกลุ่มเดิมเมื่อสถานการณ์ดังกล่าวดีขึ้นได้เสมอ
องค์กรทางสังคมของชาวลาหู่ ในแต่ละชุมชนจะประกอบไปด้วยบุคคล ๓ ฝ่าย คือ อาดอ โตโบ และจาหลี๋ ซึ่งมีหน้าที่ปกครอง ดูแล อบรมสั่งสอน และซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร ตามลำดับ ชาวลาหู่ถือว่าหากบ้านใดไม่มีองค์กร ๓ องค์กรนี้จะถือว่าเป็นหมู่บ้านทีไม่สมบูรณ์ และอาจล่มสลายไปในที่สุด (เครือข่ายสิ่งแวดล้อมลาหู่, ๒๕๔๕ : ๖) การปกครองของชาวลาหู่ได้รับอิทธิพลมาจากหลักความเชื่อของศาสนา ที่เน้นให้คนเป็นผู้มีศีลธรรม ประพฤติตนเป็นคนดีไม่เบียดเบียนผู้อื่น หากเกิดการกระทำผิดขึ้นในชุมชน เช่น การทะเลาะวิวาท ผู้ใหญ่บ้านและผู้อาวุโสภายในหมู่บ้านจะเป็นผู้พิจารณาไกล่เกลี่ยและปรับไหมตามสมควร ชาวลาหู่มีการจัดความสำคัญของสิ่งเหนือธรรมชาติเป็น ๓ ลำดับ คือ ระดับสูงสุดได้แก่เทพเจ้า “หงื่อซา” หรือเทพเจ้าผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่ง รองลงมาคือ “เน่” หรือเทพ ทำหน้าที่คุ้มครองคนในหมู่บ้าน และ “ซื้ – ซือ” ซึ่งเป็นผีร้ายที่คอยนำความเดือดร้อนมาสู่ชุมชน พิธีกรรมที่สำคัญสอดแทรกอยู่ใน ๓ กิจกรรมหลัก ได้แก่ การเกษตร การล่าสัตว์ และการรักษาอากาศเจ็บป่วย เช่น เทศกาลปีใหม่ พิธีกินข้าวใหม่ มอเหล่เว พิธีเรียกขวัญ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นการบูชาพระเจ้า และการเซ่นไหว้ผีเป็นสำคัญ
การทำมาหากินชาวลาหู่ มีระบบการผลิตแบบตัดฟันโค่นเผา การใช้พื้นที่ของชาวลาหู่เป็นลักษณะของการหมุนเวียน โดยแต่ละครัวเรือนจะมีที่ดินของตนเอง ๕ – ๑๐ ไร่ แปลงหนึ่งจะใช้เวลาในการผลิต ๑-๓ ปี (เครือข่ายสิ่งแวดล้อมลาหู่, ๒๕๒๘ : ๘๘) พืชที่ปลูกส่วนใหญ่นิยมปลูกข้าว/ธัญญาพืชเป็นหลัก และปลูกฝิ่นเป็นรายได้เสริม ชาวลาหู่มีความเชื่อว่า “หงื่อซา” เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในโลก โดยมี “เน้”เป็นผู้ดูแลรักษา ตนเองเป็นเพียงผู้มาขอใช้ ดังนั้น การทำไร่แต่ละผืน การตัดต้นไม้แต่ละต้น จะต้องประกอบพิธีกรรมขอใช้ทุกครั้ง นอกจากการใช้ทรัพยากรต่างๆ ยังมีกฎจารีต ประเพณีต่าง ๆ กำหนดไว้ เช่น ข้อห้ามเรื่องการบริโภคสัตว์ป่าบางชนิด หรือ ข้อห้ามของพื้นที่ป่าแย้เขาะ
ไม่มีความเห็น