“ผมว่ามันจริงไปหน่อย”
ความคิดเห็น (comment) ทำนองนี้มักจะถูกพ่นสู่อากาศเสมอ เมื่อครีเอทีฟนำเสนอสตอรี่บอร์ดที่ดำเนินเรื่องอยู่ภายใต้กรอบ และขอบเขตของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน
ภาพความจริงเหล่านี้มีให้เห็นได้ในสังคมและบนหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ย่อมหายากยิ่งในหนังโฆษณา
เพราะอะไร?
เพราะโฆษณาไม่ได้หากินอยู่กับ ‘ความจริง’ เปล่าเลย โฆษณาหากินอยู่กับ ‘ความฝัน’ ต่างหากล่ะ!
ภาพเศร้าๆ เหนอะๆ หนะๆ หดหู่ผิดหวังแบบนั้น ใครเขาจะไปอยากดู
แทนที่จะนำเสนอปัญหาที่จริงแสนจริงในชีวิตประจำวัน โฆษณาส่วนใหญ่เลือกที่จะนำเสนอภาพความฝันอันสวยงาม หยาดเยิ้มหยดย้อยหมอกควันลอยฟุ้ง ราวกับหมู่มนุษย์ในหนังกำลังใช้ชีวิตอยู่บนสรวงสวรรค์
เราจึงเห็นภาพพ่อแม่ลูก (จะให้สมบูรณ์ดีต้องมีทั้งลูกชายและลูกสาว) ที่ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขริมทะเลสาบของหมู่บ้านจัดสรรหลังสวย ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ พร้อมหน้าพร้อมตากับหมาสีทอง (โกลด์เด้น รีทรีฟเวอร์ ไม่นิยมใช้ร็อตไวเลอร์ บลูด็อก หรือบ็อกเซอร์ เดี๋ยวจะดุและทำหน้าบึ้งตึงทำลายภาพฝัน) บางทีครอบครัวอันชื่นสุขนั้นก็ขับรถโฟร์วีลออกไปต่างจังหวัดด้วยกัน โดยไม่ลืมน้องหมาหน้าตาใจดีตัวนั้น ถ้ายังอบอุ่นไม่พอ บางโฆษณาก็แถมอาม่าอากงพ่วงเข้าไปด้วย
เรามักจะเห็นภาพครอบครัวในฝัน ‘แบบ’ นี้ ใช้ชีวิตอยู่ในทีวี และใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ กันไป
เป็นภาพชีวิตครอบครัวที่ทุกคนอยากมี อยากเป็น
ชีวิตที่ความสุขล้นทะลักจนแทบสำลัก และแทบไม่เหลือรูว่างให้ความทุกข์ได้เบียดกายแทรกตัวเข้าไป
แน่นอน ทุกคนล้วนอยากมีความสุข ทุกคนอยากมีชีวิตในฝัน
แต่ ‘ชีวิตในฝัน’ คืออะไร?
ใช่หรือไม่ว่า มันคือชีวิตที่หาได้ยากยิ่งในโลกแห่งความจริงที่เราหายใจกันอยู่
และตรงนี้เองที่เป็น ‘รู’ ในชีวิตจริง ที่อ้ารอ ‘ความฝัน’ มาเติมเต็ม
เช่นนี้เอง โฆษณาจึงขาย ‘ฝัน’
..............คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน ความฝันเป็นเรื่องสวยงาม และน่าจะมีเก็บไว้แง้มลิ้นชักหัวใจออกดูยามเบื่อหน่ายกับโลกความจริงตรงหน้า แต่ความฝันอันสวยงามที่ว่า กลับถูกฉกฉวยแย่งชิงมาใช้ในการขายของ!
สิ่งที่น่าตั้งคำถามไม่ใช่ ‘ชีวิตในฝัน’
หากแต่เป็นกระบวนการที่จะนำไปสู่ ‘ชีวิตในฝัน’ นั้นต่างหาก
กระบวนการ-ที่ย่อมมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายในชีวิตจริง
การที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะมีหญิงสาวมารุมล้อม ย่อมมิได้เกิดจากกลิ่นหอมใต้จั๊กกะแร้เท่านั้น แต่ยังต้องมีมิติอื่น ความสุภาพ, ความมีน้ำใจ, นิสัยรับฟัง, และสมองที่หอมกว่ากลิ่นกาย
การที่ครอบครัวสักครอบครัวจะมีความสุข ย่อมมิใช่เพียงแค่การมีบ้านติดทะเลสาบและเลี้ยงหมาสีทอง แต่ย่อมเกิดจากความรักความเข้าใจซึ่งกันและกัน, รับฟังแลกเปลี่ยน, ให้เวลากัน, พยายามลดช่องว่างระหว่างวัย, เคารพในความคิดต่างของวัยที่แตกต่างกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้หลังคาบ้านหลังเล็กๆ และรอยยิ้มก็ไม่จำเป็นต้องเบ่งบานเฉพาะช่วงปิ้งบาร์บีคิวกินกัน ริมทะเลสาบหลังบ้านหลังหรู
และก็ใช่ว่าบ้านหลังใหญ่ราคาหลายสิบล้านจะสร้างครอบครัวในฝัน อันอบอุ่นและเป็นสุขขึ้นมาได้เสมอไป
ยังไม่ต้องนับว่า ครอบครัวแห่งความสุขนั้นต้องเป็น ‘แบบ’ เดียวกันทั้งหมด
ครอบครัวที่มีเพียงแม่และลูกก็มีความสุขได้, ครอบครัวที่มีแค่ชายหนุ่มกับปลาทองก็อาจจะมีความสุข, ครอบครัวของหญิงรักหญิงหรือชายรักชายที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็เป็นครอบครัวในฝันได้ทั้งนั้น
แต่โฆษณามักตอกย้ำ ‘ภาพ’ ของ ‘ครอบครัวในฝัน’ ในแบบเดิมๆ ซ้ำๆ จนดูเหมือนว่าครอบครัวในฝันต้องเป็น ‘แบบ’ นั้นเสมอไป
..............
ยามที่เราถอยตัวออกมาดูโฆษณาในระยะไกล เรามักจะคิดอะไรในทำนองนี้ได้ แต่ในเวลานาทีที่ตาของเราจับจ้อง หูของเราฟังเสียงเพลงเพราะๆ เสียงโฆษกเท่ๆ เรามักจะหลงเคลิ้มไปกับมันเสมอ
..............
ที่มา: http://www.onopen.com/2007/01/1506
อ่านบทความเต็มได้ที ่link ด้านบนค่ะ คุณนิ้วกลมเขียนได้มันดีค่ะ มีมุขปิดท้ายประโยคให้ ยิ้มมุมปากพร้อมขำในคอได้เสมอๆค่ะ
ขอขอบคุณอาจารย์มัทนา...
Rue = รู...
rue1 [roo] Pronunciation Key - Show IPA Pronunciation, verb, rued, ru·ing, noun
1. | to feel sorrow over; repent of; regret bitterly: to rue the loss of opportunities. |
2. | to wish that (something) had never been done, taken place, etc.: I rue the day he was born. |
3. | to feel sorrow, repentance, or regret. |
4. | sorrow; repentance; regret. |
5. | pity or compassion. |
ที่มา: http://dictionary.reference.com/browse/rue
โฆษณา...
โฆษณา...
ขอบคุณค่ะอ.หมอ
คุณ นิ้วกลม เขียนอธิบายความหมายของ "รู" ไว้อย่างละเอียดในอีกบทความ ตามไปอ่านได้ค่ะ
คุณนิ้วกลม ใช้คำนี้ คงเพราะมัน "catchy" อ่านแ้ล้วล่อแหลมหน่อย เรียกความสนใจคนอ่านมั้งค่ะ
สรุปสั้นๆได้ว่า
หากไม่มี ‘รูของความต้องการ’ ย่อมไม่มี ‘เงี่ยงของข้อเสนอขาย’
ตรงตามหลักพุทธศาสนาเรื่องกิเลสดีนะคะ