1. Conscientization Approach: เชื่อว่าคำนี้เราไม่ชิน หรือไม่เคยได้ยินมาเลย แต่อาจจะได้ยินคำนี้ conscious ซึ่งหมายถึง ตระหนัก รู้สึกตัว คิดได้ หรือ consciousness ซึ่งหมายถึง ความตระหนักรู้ หรือ awareness การรู้ตัวทั่วพร้อม(ทางจิตใจ) ผู้เขียนเคยได้ยินพระคุณเจ้าพระธรรมปิฎกก็ใช้คำนี้เช่นกันซึ่งจะหมายถึง “การตื่นขึ้นของจิต” ดังนั้น conscientization approach หมายถึงการกระบวนการทำให้คนตระหนักขึ้น หรือจิตตื่นขึ้น หรือในความหมายที่เราพูดกันก็คือ กระบวนการปลุกจิตสำนึก ปลุกให้ตื่นจากหลับใหล หรือตื่นจากการคิดไปทางอื่นที่ไม่ถูกต้องมาเป็นทางที่ถูกต้อง สมัยขบวนการนักศึกษาเบ่งบาน 14 ตุลา 16 ผู้เขียนกำลังเรียนอยู่ที่ มช.โน้น เพื่อนใกล้ชิดเขาเข้าร่วมกระบวนการนักศึกษาแล้วแต่ผู้เขียนยังสนุกกับการออกเต้นรำงานบอลล์
แต่ต่อมาอ่านหนังสือ pocket book ที่ออกมาสมัยนั้นมากมาย หนังสือส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสะท้อนสังคมที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาของบ้านเมือง จนหนักไปทางทฤษฎีการเมืองต่างๆ ไม่ว่า เลนิน มาร์ค เหมาเจ๋อตง หรือเบาลงก็เช่น อีเอฟ ชูเมกเกอร์, ฟรานซ์ เฟนอน ของนักเขียนไทย ก็มี สุจิตต์ วงษ์เทศ และขรรชัย บุญปาน สมัยนั้นเรียกกันว่า สองกุมารไทย หรืออาจารย์สุชาติ สวัสดิ์ศรี ท่าน ส. ศิวรักษ์ และที่โด่งดังก็คือหนังสือเรื่อง “ฉันจึงมาหาความหมาย” ของท่านวิทยากร เชียงกูร พวกเราอ่านแล้วก็มานั่งจับกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หรือเชิญผู้รู้มาอภิปรายย่อยๆกัน สนุกมาก แล้วก็จัด “ค่ายศึกษา” กัน ไม่ได้ไปก่อสร้างอะไรหรอก ออกค่ายเพื่อศึกษาสังคมกันอย่างจริงจัง และแล้วก็มาถึงการแสดงความรู้สึกกันและกันเมื่อวันสิ้นสุดค่าย เราพบว่า หลายคนน้ำหูน้ำตาไหล กล่าวว่า “ผมตื่นขึ้นแล้ว... ฉันตื่นขึ้นแล้ว”.. “ผมเกิดใหม่แล้ว”
หมายถึงเขาคนนั้นเข้าใจแล้วว่าสังคมเป็นเช่นไร สถาบันการศึกษา กำลังผลิตคนแบบไหน เราควรจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ....ฯลฯ แล้วคนกลุ่มนี้ก็เป็นนักกิจกรรมตัวยงในสถาบันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้เขียนกำลังกล่าวว่า ..งานค่ายศึกษา คือการที่เอาคนเข้าค่ายแล้วใช้กระบวนการค่ายผนวกกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ฯลฯ สร้างมิติใหม่ของคนออกมาด้านจิตสำนึก กระบวนการในค่ายแบบนี้เรียกว่า conscientizing workshop คือค่ายปลุกจิตสำนึกนั่นเอง ปลุกให้คนตื่นจากภาพสังคมที่เป็นอยู่ให้เห็นอีกภาพหนึ่งที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ร่วมกัน ฯลฯ
2. ปรากฏการณ์ทางอารมณ์ สำนึก และศรัทธา: เอางี้ก็แล้วกัน..คิดว่าท่านคงเคยเห็นอาจารย์หมอพงษ์ศักดิ์นักพูด ที่พูดให้คนร้องให้ได้เป็นร้อยๆคนในที่ประชุมใหญ่ ท่านพูดอะไรของท่านนะ พูดแล้วคนร้องให้ออกมาขนาดนั้น แสดงว่าคำพูดของท่านกินใจมากๆเลย คำพูดทำให้คนซาบซึ้งได้..? บางคนดูละครทีวีดูไปดูมาร้องให้ขี้มูกโป่ง...การแสดงและคำพูดทำให้คนเกิดอารมณ์ได้. วันที่ 9 มิถุนายน 2549 คนทั่วประเทศร้องห่มร้องให้ด้วยความซาบซึ้งในบุญญาบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา แม้ดูทางทีวีก็ตาม... บุญญาบารมีทำให้คนร้องให้ ซาบซึ้งได้... และศรัทธา จนฝรั่งมังค่าตกอกตกใจว่าประเทศไทยเป็นอะไรกันถึงรู้สึกกับในหลวงขนาดนี้...
ผู้เขียนชอบอ้างถึงกรณีหนึ่งดังนี้..ที่โคราช มีชายหนุ่มใหญ่คนหนึ่งมีอาชีพเป็นหมอรำ ตลอดอายุขัยวัยกลางคนมานี่สนุกสนานกับการเที่ยวรำ ดื่ม ไม่เป็นโล้เป็นพาย..วันหนึ่งมีนักพัฒนาเข้ามาในหมู่บ้านมาทำงานพัฒนา ทำงานไปนักพัฒนาก็เที่ยวประชุมคุยกับชาวบ้านไป หมอรำคนนี้ก็ไม่สนใจอะไร แต่ต่อมาเห็นใครต่อใครในหมู่บ้านพากันทำโน่นทำนี่ แกก็เริ่มสนใจว่าไอ้นักพัฒนามันมาพูดอะไร แล้ววันหนึ่งนักพัฒนาก็พาชาวบ้านไปดูงานปราชญที่สุรินทร์ หมอรำคนนี้ขอไปด้วย เมื่อดูงานจบกลับมาบ้านแกก็มานอนคิดเอามือก่ายหน้าผาก คิดทบทวนชีวิตตัวเองที่ผ่านมา คิดต่อไปในอนาคต คิดถึงเพื่อนบ้านที่ทำกิจกรรม คิดถึงสิ่งที่ปราชญพูด.....เวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว..หมอรำคนนี้นอนไม่หลับเมื่อได้ทบทวนชีวิตดังกล่าว คืนนั้นเดือนหงาย หมอรำลุกขึ้นเดินลงบันไดบ้านหยิบจอบใต้ถุนบ้านออกไปกลางนา
ท่ามกลางแสงจันทร์หมอรำคนนี้ขุดดินจนสว่างคาตา แล้วนับแต่วันนั้นเป็นต้นมาหมอรำเปลี่ยนเป็นคนละคน และในเวลาต่อมาก็กลายเป็นเกษตรกรดีเด่นการทำการเกษตรผสมผสาน มีสระน้ำเกิดขึ้นจากน้ำมือแกเอง มีต้นไม้รอบสระ เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ มีผักกิน มีเงินใช้เพราะได้ขายปลาได้ขายพืชผัก เกิดอะไรขึ้นกับหมอรำคนนี้... สำนึกบางอย่างเกิดขึ้นอย่างท่วมท้น กลายเป็นพลังจิตใจมหาศาลขึ้นมาแล้วก็แปรเป็นงานเกษตรผสมผสานที่แกคิดตกว่า นี่คือทิศทางในชีวิตที่ควรจะเป็น...
สิ่งที่น่าสนใจคือ นักพัฒนาจัดการศึกษาดูงานอย่างไร และปราชญพูดอะไรบ้างจึงทำให้หมอรำท่านนี้บรรลุธรรม สำนึก เกิดใหม่ ตื่นขึ้น จากชีวิตเดิมๆ เก่าๆ ผู้เขียนไม่พบสูตรสำเร็จ แต่ทุกอย่างน่าที่จะมีส่วนประกอบ และที่สำคัญฐานเดิมของผู้เข้ากระบวนการเป็นอย่างไร...ยังหลงใหลกับกระแสสังคม เพียงถูกจับเข้ามาสู่กระบวนการเท่านั้น หรือเป็นคนที่มีใจให้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว พอได้กระบวนการดีก็บรรลุธรรมไปเลยหรือเปล่า ก็คงประกอบกัน
หนูก็อยากไปนะคะ
แต่หนูไม่ได้เป็นลูกช้างอ่ะ.........
คุณพี่หนิง จะให้หนูไปด้วยป่ะค่ะ
น้องหนิงครับ พี่จะใส่ลงในบันทึกก่อนนะ วันใกล้ๆค่อย confirm อีกทีนะครับ น่าสนใจมากครับ
กาเหว่า พี่หนิงเขาไม่ปิดกั้นหรอก จะลูกช้าง ลูกแมว พี่หนิงเขายินดีทั้งนั้นแหละ ใช่ ปะ หนิง..
น่าๆ พี่ช้างบางทราย ขา มาลปรร กันนะคะ มีแต่กัลยาณมิตรกันทั้งนั้นค่ะ
Happy Valentine’s Day!
ตามบล็อกมาจากแพลนเนตของท่านครูบาค่ะ...ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านค่ะ
คารวะรุ่นพี่ มชค่ะ
ด้วยความยินดีครับ น้องจันทรัตน์ ดีใจที่รู้จักกันครับ