กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์สำหรับเด็กและเยาวชนแทนการดำเนินคดีอาญา


กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์สำหรับเด็กและเยาวชนแทนการดำเนินคดีอาญา
เนื่องจากปัจจุบันนี้สังคมในปัจจุบันนี้มีการพัฒนามากขึ้น มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ประกอบกับรัฐมีการตรากฎหมายที่มีบทกำหนดโทษในทางอาญามากขึ้นเรื่อยๆ(Overcriminalization) โดยมุ่งที่จะใช้โทษทางอาญาและสร้างสภาพบังคับโทษในทางอาญาเพื่อควบคุมสังคม ส่งผลทำให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มีอยู่นั้นประสบปัญหา เช่น ปัญหาคดีล้นศาล ปัญหานักโทษล้นเรือนจำ ปัญหาเกี่ยวกัประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาแท้จริงแล้วคืออะไร หมายถึงการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้มาก อัยการสามารถฟ้องคดีได้มาก และศาลสามารถพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดได้มาก ปัญหาการละเมิดสิทธิของผู้ต้องหา จำเลย ผู้เสียหาย และผู้ต้องขังหรือนักโทษ เป็นต้นเนื่องจากกระบวนการบังคับใช้กฎหมายโดยกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้นดำเนินต่อเนื่องกันไปอย่างเป็นระบบ ดังนั้นเมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของกระบวนการเกิดปัญหา ย่อมส่งผลกระทบต่อส่วนที่เหลือทั้งหมดและจำนวนคดีที่เกี่ยวกับการกระทำผิดทางอาญาโดยเด็กและเยาวชนนั้นมีอัตราที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเด็กและเยาวชนกระทำผิดถูกส่งเข้าสู่สถานพินิจเป็นจำนวนมากจนมีสภาพแออัดคับคั่ง โดยเพิ่มขึ้นจากจำนวนเด็ก 31,448 ราย ในปี พ.ศ. 2545 เป็นจำนวน 35,285 ราย ในปี พ.ศ. 2546 คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 [1]        ซึ่งทำให้เราต้องหันมามองว่าเพราะเหตุใดจึงทำให้เด็กและเยาวชนเหล่านั้นกระทำความผิดทั้งๆที่ยังเป็นเด็ก ทำให้เราต้องมาช่วยกันหาสาเหตุและร่วมมือกันในการที่จะแก้ปัญหาที่เกิดโดยเด็กและเยาวชนซึ่งจะเป็นอนาคตที่สำคัญของชาติต่อไปภายหน้า ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้เด็กและเยาวชนนั้นกระทำความผิด เราควรที่จะมีการวางมาตรการหรือ มีการปกป้องคุ้มครอง และดูแลเด็กและเยาวชนไม่ให้หาทางออกโดยการกระทำความผิด เพราะเด็กและเยาวชนนั้นเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อสังคม ซึ่งครอบครัวนั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะแก้ปัญหาการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชน เพราะครอบครัวเป็นที่หล่อหลอมเด็กและเยาวชนให้รู้ผิดชอบชั่วดี   ดังนั้นเราควรจะดูแลเด็กโดยเริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว ชุมชน เพื่อให้เด็กและเยาวชนนั้นอาศัยอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาและไม่ทำให้เด็กและเยาวชนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเป็นปัญหาหรือภาระของสังคมหรือเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีใครต้องการ หากเด็กและเยาวชนได้กระทำความผิดลงไปแล้วการดำเนินคดีอาญาหรือการลงโทษก็ไม่ควรที่จะเป็นการสร้างตราบาปให้เด็กให้เด็กรู้สึกว่าตนไร้ค่าหากเด็กและเยาวชนนั้นรู้สึกอย่างนั้นแล้วย่อมมีส่วนที่จะทำให้เด็กนั้นกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีกซึ่งจะทำให้ก่อปัญหาต่อไปในระยะยาว                  เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมไทยในปัจจุบันยังมีลักษณะที่ผูกขาดโดยรัฐ รัฐมุ่งหมายที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดหรือผู้ที่ก่ออาชญากรรมด้วยวิธีการแก้แค้นทดแทน (Retributive Justice) มากกว่าที่จะใช้วิธีการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด (Rehabilitation) ซึ่งมิได้ส่งผลให้อาชญากรรมลดลงทั้งทางด้านปริมาณและความรุนแรง ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จึงมีความจำเป็นที่จะนำมาใช้ในประเทศไทยเพื่อลดความรุนแรงจากกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก                 จากสถานการณ์การกระทำผิดของเด็กและเยาวชนในประเทศไทยที่มีจำนวนมาก คือ มีเด็กและเยาวชนถูกจับกุมและส่งตัวมายังสถานพินิจทั่วประเทศ ระหว่างปี พ.. 2541–2545 มีจำนวน 38,472 คน,37,388 คน, 35,439 คน, 31,448 คน และ 35,285 คน ตามลำดับ และพบว่าจำนวนเด็กและเยาวชนที่ถูกจับกุมปี 2545 มีอยู่ร้อยละ 40 ที่ถูกจับกุมด้วยข้อหาที่มีโทษจำคุกทางอาญา น้อยกว่า 5 ปี ซึ่งจัดว่าเป็นการกระทำผิดเล็กน้อย และข้อมูลของสถานพินิจพบว่า สถิติการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในสถานพินิจมีอยู่ประมาณร้อยละ 15 –19 ของจำนวนเด็กและเยาวชนที่ถูกจับกุมทั้งหมด                                             กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนของประเทศไทยมีแนวความคิดในการจัดตั้งที่แยกมาจากกระบวนการยุติธรรมสำหรับผู้ใหญ่  โดยมีฐานความคิดมาจากแนวคิดของประเทศตะวันตกโดยเฉพาะประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาซึ่งดังนั้นกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์สำหรับเด็กและเยาวชนแทนการดำเนินคดีอาญานั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหาจำนวนนักโทษเด็กและเยาวชนที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นและยังเป็นการให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดได้กลับตนเป็นคนดีพร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างปกติกระบวนการยุติธรรมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน โดยมีความพยายามที่จะแก้ไขฟื้นฟูพฤติกรรมของผู้กระทำผิดควบคู่ไปกับการลดภาระของเรือนจำ แต่ปัญหาจำนวนผู้ต้องขังมากเกินกว่าพื้นที่ของเรือนจำจะรับได้ก็ยังดำรงอยู่และขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ภาวะเช่นนี้ทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สถานพินิจมีข้อจำกัด ปัญหาด้านการแก้ไขฟื้นฟูพฤติกรรมของผู้กระทำผิดซึ่งมีจำนวนมากและแออัดจึงเป็นไปได้ยาก ก่อเกิดผลต่อเนื่องไปถึงการกระทำผิดซ้ำจนประชาชนทั่วไปมักวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการแก้ไขหรือการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดว่าล้มเหลวแล้วกระนั้นหรือ หรือเป็นเพราะระบบงานยุติธรรมไทยมิได้ปรับตัวเองให้เท่าทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เรามิได้สร้างทางเลือกสร้างเครื่องมือให้กับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมใช้ในการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดใช่หรือไม่                จากข้อมูลดังกล่าวนำมาซึ่งแนวคิดที่ว่า ถ้าเด็กและเยาวชนที่ถูกฟ้องในข้อหาที่มีโทษเล็กน้อยได้รับการบำบัดแก้ไขด้วยวิธีการทางเลือกที่ผันเด็กและเยาวชนออกไปจากกระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนตั้งแต่ต้น จะเป็นผลดีต่อเด็กและเยาวชนเอง อีกทั้งสถานพินิจจะได้ทำหน้าที่ดูแล และบำบัดแก้ไขเฉพาะเด็กและเยาวชนที่จำเป็นจริง ๆ กับการควบคุมในสถานพินิจเท่านั้น จะทำให้การแก้ไขฟื้นฟูเด็กและเยาวชนกระทำผิดมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีขึ้น                 เด็กและเยาวชนจัดได้ว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่อ่อนด้วยประสบการณ์  ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีต่าง ๆ  และขาดความรู้เท่าทันในด้านต่าง ๆ  การเรียนรู้  และการอบรมจากผู้ใหญ่รอบข้างจึงนับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กและเยาวชนเติบโตขึ้นทั้งทางด้านร่างกาย  ด้านสติปัญญา  และความประพฤติเป็นผู้ใหญ่ที่ดี  เพื่อช่วยพัฒนาและนำพาสังคม  ประเทศชาติไปสู่ความรุ่งเรืองต่อไป แต่ประเทศไทยของเรากำลังเผชิญกับปัญหาการกระทำความผิดจากเด็กและเยาวชนเพิ่มจำนวนขึ้นทำให้เกิดปัญหาเด็กล้นเรือนจำ รวมถึงปัญหาเด็กที่อยู่ในสถานพินิจต่างๆรวมตัวกันหนีออกจากสถานพินิจหลายๆแห่งดังที่เป็นข่าว จึงเกิดคำถามว่าการที่เด็กและเยาวชนนั้นถูกควบคุมตัวอยู่ในสถานพินิจนั้นจะทำให้เด็กและเยาวชนเหล่านั้นมีสภาพชีวิตความเป็นออยู่ที่ดีในอนาคตหรือไม่และเป็นการถูกต้องแล้วหรือไม่ที่จะแก้ไขฟื้นฟูเด็กและเยาวชนโดยการคุมตัวไว้ในสถานพินิจเมื่อมีเด็กอยู่ในนั้นเป็นจำนวนมากการดูแลและฟื้นฟูของเจ้าหน้าที่ก็ทำได้ไม่ทั่วถึง จึงได้มีการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เข้ามาใช้ในคดีที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน  เนื่องจากประเทศไทยได้ลงนามในภาคยานุวัติสารของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 และมีผลบังคับใช้ในประเทศไทย มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2535 ซึ่งมีผลให้ประเทศไทยต้องดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญา อาทิ กำหนดนโยบายพัฒนาเด็กและเยาวชนไว้ในนโยบายของรัฐบาลหรือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนเพิ่มเติมหรือปรับปรุงกฎหมายที่ส่งเสริมสิทธิเด็กที่มีอยู่ให้สมบูรณ์และแพร่หลายยิ่งขึ้น แต่ในความเป็นจริง ปัญหาเกี่ยวกับเด็กก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป อาทิ เด็กที่ถูกนำไปแสวงหาประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและถูกใช้แรงงานเด็กที่ถูกชักจูงหรือบีบบังคับให้ค้าประเวณี หรือการกระทำอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับเพศหรือสิ่งลามกอนาจารเด็กเร่ร่อน หรือเด็กจรจัด เด็กที่ได้รับหรือป่วยจากเชื้อโรคเอดส์เด็กที่ได้รับการทรมาน ถูกปฏิบัติหรือลงโทษที่โหดร้ายในครัวเรือน เด็กที่ถูกทอดทิ้งโดยบิดามารดาหรือผู้ปกครอง เด็กที่ติดยาเสพติดและสารที่มีพิษต่อสุขภาพ เด็กที่มีคุณภาพชีวิตอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ตลอดจนเด็กที่เป็นผู้กระทำความผิด[2]                ปัญหาเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนมิได้เป็นเพียงปัญหาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเพียงประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายจะต้องระดมความคิดเห็นและแสวงหาควาร่วมมือในการหาทางแก้ไขอย่างจริงจังและเร่งด่วน ดังจะเห็นได้จากการมีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) และกฎแห่งกรุงปักกิ่ง นอกจากนี้ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ครั้งที่ 11 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ได้มีการประกาศปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) และได้มีการเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกสร้างความมั่นใจว่ามีการปฏิบัติต่อเด็กที่เป็นเหยื่ออาชญากรรมและเด็กที่ทำผิดกฎหมายอย่างได้มาตรฐานอีกด้วย            ปัจจุบันได้มีการผลักดันร่างพระราชบัญญัติชะลอการฟ้อง เพื่อช่วยลดปัญหาคนล้นคุกแต่     ปัญหาและอุปสรรคที่มีอยู่คือการชะลอการฟ้องเป็นกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาที่สำนึกในการกระทำความผิดของตนได้บรรเทาผลร้ายแห่งความผิดตามแนวคิดกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาและผู้เสียหายได้มีการให้อภัยต่อกันเพื่อความสมานฉันท์ในสังคมโดยการร้องต่ออัยการขอให้มีคำสั่งชะลอการฟ้องไว้ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้ผู้ต้องหาได้กลับตัวเป็นคนดีและมีเวลาเพียงพอที่จะชดใช้เยียวยาผู้เสียหายที่ได้ตกลงไว้ซึ่งการที่อัยการจะมีคำสั่งชะลอการฟ้องได้นั้นต้องได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายเสียก่อน หากปราศจากความยินยอมของผู้เสียหายแล้วอัยการจะมีคำสั่งชะลอการฟ้องไม่ได้ทั้งนี้เนื่องจากสิทธิในการดำเนินคดีอาญาที่เป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือคดียอมความได้นี้เป็นสิทธิโดยส่วนตัวของประชาชนโดยแท้              แต่ยังมีปัญหาถูกมองว่าการชะลอฟ้องนั้นเป็นการแทรกแซงอำนาจของฝ่ายบริหารและแทรกแซงจำกัดสิทธิเสรีภาพในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของผู้เสียหายแล้วยังขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งอีกด้วย[3]
               
กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ยังไม่เปิดช่องให้มีการนำกระบวนการยุติธรรมทางเลือกมาปรับใช้กับคดี บุคลากรที่เกี่ยวข้องบางส่วนอาจยังไม่มีความพร้อมด้านทัศนคติ และแนวคิด ในการยอมรับ เพราะยังไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางเลือกใหม่ที่จะนำมาใช้ นอกจากนั้น ระบบค่านิยม วัฒนธรรม ของสังคมที่มีอยู่ อาจเป็นอุปสรรคเพราะคนในสังคมส่วนหนึ่ง ยังคงยึดติดอยู่กับความคิดการลงโทษแบบแก้แค้นทดแทน คือต้องการลงโทษให้สาสมกับการกระทำผิด ทำให้ผู้ปฏิบัติงานอาจมีความไม่มั่นใจที่จะนำกระบวนการยุติธรรมทางเลือกมาปรับใช้อีกทั้ง กระบวนการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชนมีบุคคลหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ชุมชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้มแข็งและติดกับค่านิยมที่มองปัญหาการกระทำผิดว่าไม่ใช่เรื่องตน เป็นเรื่องของรัฐที่จะจัดการกับปัญหา และบุคคลหลายฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้องมีความรู้และภูมิหลังแตกต่างกัน จะต้องมีการปรับความรู้ ความเข้าใจ ให้เข้าใจความหมายและกระบวนการดำเนินการให้ครอบครัวและชุมชนเข้าใจตรงกัน


[1] [1]ที่มา: กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน

[2] รายงานการศึกษาวิเคราะห์เรื่อง กฎหมายและแนวปฏิบัติในประเทศไทยเฉพาะกรณีไม่สอดคล้องตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา

 
[3] "ชะลอการฟ้อง" กฎหมายดีๆ ที่ถูกบิดเบือน,แหล่งข้อมูล:มติชน 3 พย. 48  
หมายเลขบันทึก: 78157เขียนเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2007 13:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 15:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท