อ่านบันทึกของคุณธวัช หมัดเต๊ะ (คลิก) แล้วนึกขึ้นได้ เมื่อเร็วๆ นี้ดิฉันได้มีโอกาสตรวจรายงานวิจัยเกี่ยวกับเบาหวานที่มีผู้เสนอผลงานมาเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารภาษาไทยฉบับหนึ่ง อ่านอยู่ ๒ รอบ รายงานมีหัวข้อครบถ้วนตามแบบที่งานวิจัยควรจะมีและตามที่วารสารกำหนด แต่สาระในแต่ละหัวข้อเป็นสิ่งที่ดิฉันให้ความสำคัญ
ดิฉันมีความรู้สึกว่า (อาจผิดก็ได้) ปัญหาการวิจัยไม่ค่อยมีน้ำหนักที่ชัดเจน ผู้วิจัยตั้งธงไว้ก่อนแล้วว่าอยากจะศึกษาตัวแปรอะไร จึงไม่ได้มีการทบทวนค้นหาว่าในเรื่องที่ตนสนใจนั้นมี gap ความรู้อะไรอยู่บ้าง เขียนพอเป็นเหตุผลสนับสนุนสิ่งที่ตนต้องการ กรอบทฤษฎีที่ใช้ อาศัยแค่เพียงคำนิยามของบาง concept เท่านั้น
เจ้าของงานติดอยู่กับข้อมูลเชิงปริมาณ สร้างเครื่องมือไปให้ผู้ป่วยเบาหวานตอบ เอาคะแนนมาวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย หาความสัมพันธ์ แล้วอภิปรายผลว่าที่มี/ไม่มีความสัมพันธ์กันเพราะอะไร ผู้อ่านไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าค่าตัวเลขความสัมพันธ์ เสียดายข้อมูลดีๆ ที่ไม่ได้เก็บจากผู้ป่วย ไปให้ความสำคัญกับ “ตัวเลข” มากกว่าความรู้ของจริงที่จะบอกปรากฏการณ์เรื่องนั้นๆ
มีข้อสังเกตอีกอย่างคือไม่มีการบอกข้อจำกัด (limitation) ของงานวิจัย ซึ่งข้อจำกัดนี้มีผลต่อการตีความผลการวิจัยที่ได้ (เรื่องนี้เจอบ่อย)
งานวิจัยที่ขาด “ความลึก” ทำให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ implication อ่อนไปมากๆ แทบจะไม่เกี่ยวกับผลการวิจัยที่ได้เลย เรียกว่าไม่ต้องทำวิจัยก็เสนอแนะแบบนี้ได้
แบบนี้น่าจะเป็นปัญหาเหมือนกับที่ผู้ให้คำปรึกษา KM Thesis ในงาน NKM II ให้ความเห็นไว้นะคะ
วัลลา ตันตโยทัย วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐