มีคำกล่าวว่า ในการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการ มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรู้ ภายในกันมาก การแหลความว่า ความรู้ภายใน คือ ความรู้ในตัวตนที่ต้องการ “การแปลความ” “การถ่ายความ” ให้กลายเป็นความรู้ภายนอก นักวิชาการบางกลุ่มมีความคิดเห็นตรงกันข้าม ผู้เขียนมีความเห็นว่า การถ่ายโอนความรู้ภายใน มาเป็นความรู้ภายนอกนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่สนใจความสามารถที่บุคคลมีอยู่ แต่เราจะมองว่าเราต้องหยุด ที่จะพยายามทำให้ความรู้ภายในกลายมาเป็นความรู้ภายนอก แต่น่าจะมองดูว่ามีวิธีการที่เขามีปฏิสัมพันธ์กับโลก กับบุคคลรอบตัว ช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ต่าง ๆ ดีขึ้น และทำให้เราเปลี่ยนพฤติกรรม โดยมุมองชอง Wittgensteim และ Shotter การที่เราจะรู้ว่าเรามีความรู้ภายในก็จากการที่เราหมั่นทบทวนหรือมองตนเองว่า เราทำไรต่าง ๆ อย่างไร แล้วความแตกต่างที่เราไม่เคยได้สังเกตมากก่อนนั่นแหละจะได้รับความตระหนัก และความสำคัญต่าง ๆ ที่เราละเลยเหล่านี้จะก่อให้เกิดความรู้ เราไม่สามารถนำความรู้ภายในมาปฏิบัติการใด ๆ ได้ แต่เราสามารถค้นหาวิธีการพูดคุยใหม่ ๆ ได้ มีปฏิสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปได้ รวมทั้งมีวิธีการติดต่อใหม่ ๆ ได้ ความรู้ภายในไม่สามารถ “ถูกจับ” “แปลความ” หรือถ่ายโอนได้ แต่สามารถแสดงออกให้เห็นได้ในการกระทำของเรา ความรู้ใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อความรู้ภายในกลายเป็นความรู้ภายนอก แต่เมื่อการกระทำการเราสามารถจับต้องได้โดยผ่านปฏิสัมพันธ์เชิงสังคม
สิ่งที่เรารู้เมื่อไม่มีใครถาม แต่ถ้าให้อธิบายกลับทำไม่ได้ คือสิ่งที่เราต้องเตือนตัวเองไว้ (Wittgensteim 1958)
การกระทำของความรู้ต้องมีการประเมิน และความสัมพันธ์จะคือการนำความรู้ ที่มีมาจัดระเบียบการกระทำเช่นนั้นได้ต้องมีการแยกแยะระหว่างอัตนัยกับปรนัย (Palanyi 1962,17)
เชื่อกันว่า ความรู้คือพื้นฐานของการปฏิบัติการต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ มักมีคำถามเสมอ ๆ ว่า มีอะไรใหม่ ความรู้มักถูกตีความในกระบวนการตามการพัฒนาเศรษฐกิจในกระบวนการเปลี่ยนทรัพยากรให้กลายเป็นผลผลิตและบริการโดยต้องการความรู้ในกระบวนการนั้น ในระบบการผลิตสมัยใหม่ ต้องใช้ประโยชน์ของความรู้อันประกอบด้วย ทักษะต่าง ๆ เทคนิค กระบวนการในการทำอะไรให้สำเร็จ
ดังนั้น ในยุคที่เรียกว่า “เศรษฐกิจความรู้” สิ่งใหม่ก็คือ ความรู้เรื่องทฤษฎี จะกลายเป็นศูนย์กลางของสังคมสมัยใหม่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ความรู้เป็นความจำเป็นในการขับเคลื่อนสังคม ความชัดเจนของสังคมหลังยุคอุตสาหกรรม คือความเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของความรู้ สิ่งที่นำมาใช้ในการตัดสินใจระดับองค์กรคือ ความรู้เชิงทฤษฎี หมายถึง ทฤษฎีที่ถูกนำมาตีความเป็นระบบนามธรรม
อาจเป็นการยากที่จะมองหาอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้ (Bell 1999) ความรู้เชิงทฤษฎีในปัจจุบัน ผลผลิตต้องมีความรู้เฉพาะมากขึ้นเรื่อง ๆ จากความรู้เหล่านี้ถูกป้อนโดยแผนก R&D , มหาวิทยาลัย และบริษัทที่ปรึกษา รวมทั้งกระบวนการผลิตก็ยังต้องพึ่งพิงการวิจัยอย่างเป็นระบบ
คุณลักษณะของความรู้เปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา สังคมสมัยใหม่เลิกเชื่อเรื่องสัญชาตญาณ แต่มาพึ่งพากระบวนการที่เป็นขั้นตอนมากขึ้น อย่างไรก็ตามการนำความรู้เชิงทฤษฎีเหล่านั้นมาใช้ ก็ยังคงต้องพึ่งพาการตัดสินใจโดยคน รวมทั้งการทุ่มเทอีกด้วย แม้แต่ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ก็ต้องการการประยุกต์ใช้ของนักคณิตศาสตร์ ในระบบเศรษฐกิจความรู้อาจใช้ความรู้ภายนอก แต่ในลักษณะพึ่งพาความรู้ภายใน
คำว่า tacit Knowledge ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางและก็เป็นไปตามนั้น คือ ผู้ใช้หรือนักจัดการทั้งหลาย กล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง แต่ถ้าถูกถามให้อธิบาย กลับทำไม่ได้ จึงเกิดคำถามว่า ทำไม ความรู้ในองค์กรจึงยากที่จะอธิบาย ส่วนสำคัญของความรู้ภายในในองค์กรหนึ่ง ๆ คืออะไร ความรู้ภายในมีนัยยะใดที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการฝึกฝนทักษะ ถ้าความรู้ในประเด็นทักษะการปฏิบัติเป็นเรื่องภายใน แล้วความรู้ใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
คำว่าความรู้ภายใน ความรู้ภายนอกเป็นเพียงคนละด้านเท่านั้น ซึ่งผลก็คือ ทำให้เกิดความเข้าใจในได้ คือ ธรรมชาติของความรู้ในองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับทักษะของบุคคลและบริบทเชิงสังคม
ในบทนี้จะได้กล่าวถึง ความรู้ภายในด้วยมุมมองของ Palanyi และ Namaka และ Takeuchi จะเป็นผู้ทำให้คำว่า ความรู้ภายในเป็นคำที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง
Palanyi
จะแสดงความแตกต่างอย่างชัดเจน เช่น ความรู้เชิงทฤษฎี และความรู้เชิงปฏิบัติ วิทยาศาสตร์และมนุษยชาติ ความตั้งใจของเขาก็คือ การแสดงโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ความรู้ทุกประเภท Palanyi จากนักเคมีมาเป็นนักปรัชญาได้จัดประเภทหาความรู้ว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำที่มีทักษะ เขาคิดว่า ความรู้แบบปรนัย รู้เองภายใน หรือการกระทำที่เป็นอิสระเป็นเรื่องผิด หมายถึง สำหรับเขา ความรู้ทั้งหลายเป็นส่วนตัว เช่น การใช้แผนที่ แผนที่จะถูกออกแบบมา แต่ผู้ใช้แผนที่ก็ต้องมีทักษะเฉพาะตน ในการตีความ ตัดสินใจ กล่าวคือ แผนที่อ่านตัวเองไม่ได้ ต้องมีผู้อ่านที่มีทักษะในการเชื่อมโยงแผนที่กับโลก โอยผ่านวิธีการ ทางปัญญา และสัญชาตญาณ
หรือกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน ผู้กระทำคือเราไม่ใช่กฎเกณฑ์ ซึ่งอธิบายได้ว่าการตัดสินใจส่วนบุคคลต้องถูกนำออกมาใช้เพื่อจัดช่องว่างระหว่างข้อมูลความรู้กับโลกแห่งความเป็นจริง การตัดสินใจส่วนบุคคลนี้ ตัดสินไม่ได้ด้วยกฎเกณฑ์ แต่ใช้สัญชาตญาณเท่านั้น ซึ่งในการตัดสินใจนี้ถือเป็นการกระทำที่มีทักษะ ต้องใช้ทั้งร่างกายและจิตใจ
เครื่องมือทางปัญญานั้นใช้ตัวเองไม่ได้ เรามนุษย์ต้องเป็นผู้ใช้มัน ถ้าเรายอมรับว่ามี personal coefficient ในปฏิบัติการทุกอย่างเกี่ยวกับความรู้ โครงสร้างมันคืออะไร อะไรทำให้ผู้อ่านแผนที่ เดินทางไปที่ที่ต้องการได้ อะไรทำให้นักวิทยาศาสตร์ใช้สูตรต่าง ๆ อย่างได้ผล ซึ่งต้องให้ผู้กระทำเป็นผู้อธิบายขั้นตอนนั้น ๆ ได้เอง ว่าเกิดจากการที่ความรู้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกของคน เป็นกระบวนการลองผิดลองถูกทางบุคคล
ความรู้ภายในเป็นสามเหลี่ยมที่ประกอบด้วยข้อมูลเฉพาะ เป้าหมายที่ต้องการและตัวผู้รู้ ซึ่งความเป็นผู้รู้เชื่อมโยงทั้งสองด้านเข้าด้วยกัน นอกจากนั้น โครงสร้างภายในประกอบด้วย ส่วนใช้งาน ปรากฏการณ์ และส่วนความหมาย ส่วนใช้งานคือความสัมพันธ์แบบจากไหนไปไหน ส่วนปรากฏการณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนประสบการณ์ข้อมูลเฉพาะให้กลายเป็นประสบการณ์ใหม่ ส่วนความหมายคือความหมายทางข้อมูลเฉพาะอันนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
ตัวอย่าง เช่น หมอฟันตรวจฟันคนไข้ การตรวจใช้ความรู้ประเภทส่วนใช้งาน ในส่วนการค้นพบว่ารอยอุดอยู่ตรงไหน โดยการใช้เครื่องมือต่างประเภทกัน สัญชาติญาณเป็นส่วนประสบการณ์ ในท่านที่สุดส่วนความหมาย คือ การพบรอยผุจริงจากการสำรวจ หมายถึงใช้ความรู้สึกที่มือผ่านเครื่องมือตรวจ
เราใช้ความรู้ภายในในทุกสิ่งที่เราทำ แต่มักไม่รู้ถึงการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตา ไม่รู้กฎภาษาเมื่อเราพูด หน้าที่ทางร่างกายเมื่อเราเคลื่อนไหว กล่าวคือในแต่ละวันที่ร่างกายทำหน้าที่หลายหลากที่เราไม่รู้ ไม่สังเกต ความสำคัญอยู่ที่เราทำอะไร ๆ สำเร็จ เรามีทักษะและศักยภาพเพิ่มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าได้มาอย่างไร เช่น ทักษะการจะได้มาเมื่อความรู้ของเรากลายไปเป็นจิตใต้สำนึกความเหมาะสมของความรู้ภายในกับการศึกษาเรื่องการจัดการความเข้าใจผิด
Nonaka และ Takeahi เป็นดังการถ่ายโอนความรู้ภายในเป็นความรู้ภายนอก ผ่านการสนทนา และได้แยกแยะการสนทนาเป็น 4 ประเภท คือ จากความรู้ภายใน เป็นความรู้ภายใน จากความรู้ภายในเป็นความรู้ภายนอก จากความรู้ภายนอกเป็นความรู้ภายนอก และจากความรู้ภายนอกเป็นความรู้ภายใน
กระบวนการ socialigation เกิดจากการสังเกต การเลียนแบบและการฝึก Extermaligation เกิดจากการพูดการแสดงออกในรูปแบบ ของความคิดรวบยอด รูปแบบ สมมติฐาน การเปรียบเทียบและการเทียบเคียง embimation เกิดจากการรวมเอาความรู้ภายนอกเข้าด้วยกัน และ internaligation เกิดจากการพูดการแสดงออก การซึมซับ กระบวนการสะสมเข้าในตัวโดยบุคคล
กระบวนการสร้างความรู้ในองค์กรเกิดในลักษณะของวงจร แต่ละวงรอบประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ การแบ่งปันความรู้ภายในระหว่างสมาชิกในกลุ่ม การสร้างคามคิดรวบยอดจากการตกลงร่วมกันในกลุ่ม การให้เหตุผลของความคิดรวบยอดที่สอดคล้องกับจุดประสงค์องค์กร การสร้างตัวตันแบบจากความคิดรวบยอดนั้น และการใช้ความรู้ ที่ซึ่งวงจรใหม่ของการสร้างความรู้จะถูกนำไปใช้ภายในหรือภายนอกองค์กร
ทั้งสองคนได้ยกตัวอย่างการสร้างเครื่องทำขนมปังของบริษัท มิตซูชิต้า โดยใช้ 3 วงจรในกระบวนการสร้างความรู้ โดยแต่ละวงจรจะเริ่มโดยกำจัดข้อด้อยของเดิมหรือปรับปรุงของใหม่ วงจรแรกจบลงที่ได้เครื่องต้นแบบ ซึ่งยังไม่สนองความต้องการของทีมออกแบบในประเด็นคุณภาพของขนมปัง อันนำไปสู่วงจรที่สอง ซึ่งนักพัฒนาโปรแกรมไปเรียนวิธีทำขนมปังกัน คนทำขนมปังของโรงแรม Osaka International เพื่อเรียนรู้กระบวนการนวดแป้ง เพื่อนำความรู้มาปรับปรุง ส่วนวงจรสุดท้ายเริ่มจากการปรับปรุงเครื่องต้นแบบที่ได้จากขั้นตอนที่สองแล้วผลิตเครื่องทำขนมปังออกมาสู่ตลาด
เราควรเข้าใจความรู้ภายในอย่างไร
Nonaka และ Takeahi มอบความรู้ภายในว่าคือ ความรู้ที่ยังไม่ได้แสดงออก กฎเกณฑ์ที่ซ่อนอยู่ในกิจกรรมที่ผู้คนกระทำมันต้องการเวลาที่จะนำมาจัดทำเป็นระบบ เช่นระบบ if them คือความรู้ทางเทคนิค หรือระบบ knowing that คือความรู้ที่นำมาใช้ได้หรือที่รู้จักกันในนาม Know how นั่นเอง
ความรู้ภายในมักถูกเชื่อว่ามีโครงสร้างแบบ syllogism คือกลับไปมาได้ ส่วน Polayi มองว่า ความรู้ภายใน เป็นการรู้ส่วนตน ซึ่งผู้กระทำอาจไม่รู้ขั้นตอนหรือกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน คืออธิบายออกมาเป็นขั้นตอนไม่ได้นั่นเอง ดังนั้น การคิดสะท้อนกลับจึงเป็นการที่เราทำความเข้าใจ หรือให้ความใส่ใจกับขั้นตอนที่เราปฏิบัติมากขึ้น เราจะสังเกตความโดดเด่นบางประการที่เราไม่เคยให้ความใส่ใจมากขึ้น อันทำให้เรามอบสิ่งต่าง ๆ ในมุมมองใหม่ ๆ มากขึ้น
สรุป
มีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับความรู้ภายในการศึกษาการจัดการ Nonaka และ Takeahi ตีความว่า ความรู้ภายในคือความรู้ที่ยังมิได้พูดหรือแสดงออกมา คือความรู้ที่รอกการแปลความหรือการเปลี่ยนรูปให้กลายเป็นความรู้ภายนอก ซึ่งความเข้าใจนี้ทำให้ความรู้ภายในถูกจำกัดอยู่แต่สิ่งที่สามารถแสดงออกโดยการพูดเท่านั้น ความรู้ภายในและความรู้ภายนอกไม่ใช่เปรียบกับปลายเชือก แต่เป็นสองหน้าของเหรียญเดียวกัน ที่ซึ่งถึงแม้ความรู้ภายนอกที่ชัดเจนที่มีความรู้ความภายในซ่อนอยู่ ความรู้ภายในประกอบด้วย ข้อมูลเฉพาะที่เราจะสนใจเป็นพิเศษเมื่อมีจุดมุ่งหมาย ความรู้ภายในเป็นสิ่งที่เรารู้หรือกำลังให้ความสนใจสิ่งใดอื่นอยู่
เราควรให้ความสนใจกับการอสดงออกเชิงทักษะ โดยไม่ต้องคิดว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถแปลความเป็นความรู้ภายนอกได้ แต่ควรมองว่าทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสมมากขึ้นกับโลกหรือผู้คนรอบ ๆ ตัวเรา การเตือนใจตนเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำให้เราเห็นสิ่งที่ไม่เคยสังเกต กล่าวคือ เราไม่จำเป็นต้องทำให้ความรู้ภายในมาปฏิบัติการใด ๆ มากเท่ากับการหาวิธีการพูดคุยใหม่ รูปแบบปฏิสัมพันธ์ใหม่ หรือวิธีการติดต่อใหม่ ๆ ความรู้ภายในไม่ใช่สิ่งที่ “จับต้อง” “แปลความ” หรือ “เปลี่ยนแปลงรูปแบบ” ได้ แต่สามารถแสดงออกได้ ความรู้ใหม่มิได้เกิดขึ้นจากการที่ความรู้ภายในกลายเป็นความรู้ภายนอก แต่เมื่อการกระทำที่มีทักษะถูกปรับเปลี่ยนผ่านปฏิสัมพันธ์เชิงสังคม
ขอ comment หน่อยนะคะใช้ภาษาในการเขียนเข้าใจยาก และเนื้อหายาวเกินไปค่ะ น่าจะสรุปให้สั้นกว่านี้นะคะ