“อาหารปลอดภัย” จะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ ที่สำคัญ 2 ประการ ได้แก่
1 . คุณภาพของอาหารที่บริโภค
2. ปริมาณของอาหารที่บริโภค
เท่าที่ผ่านมา มาตรการส่วนใหญ่ของรัฐบาลจะเน้นความเข้มงวดในการตรวจสอบให้อาหารปลอดภัยสำหรับการบริโภค ทว่าการรณรงค์ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปที่ผู้ผลิตและกระบวนการผลิต แต่ในระดับของประชาชนหรือผู้บริโภคกลับไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการให้ข้อมูลข่าวสารความรู้ต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมเติมเต็มคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานของพวกเขาให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้น ซึ่งข่าวคราว “ความไม่ปลอดภัย” ของอาหารเท่าที่ผ่านมา ได้แก่ กรณีประชาชนกว่าร้อยคนใน จ.น่าน ที่ล้มป่วยลงหลังจากการรับประทานหน่อไม้อัดปี๊บที่มีเชื้อโบทูลินัม และกรณีการพบ “เหาปลา” หรือไอโซพอด ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายแมลงสาบในปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ ที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งแม้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. จะออกมาระบุว่า ไอโซพอดไม่เป็นอันตราย และไม่ก่อให้เกิดโทษกับมนุษย์ แต่การพบเหาปลาในปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศก็นับว่าสร้างความสะอิดสะเอียนให้กับผู้บริโภคได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
อาจจะเป็นคำตอบได้ในระดับหนึ่งว่า แนวทางเสริมสร้างสุขภาพของประชาชนในฝ่ายของ “อาหารปลอดภัย” อาจจะเดินหมากผิดไปบางตัวอย่าเพิ่งฝันบรรเจิดไปไกลถึง “ครัวไทย ครัวโลก” เลย แค่การให้ ข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงให้ผู้บริโภคได้เกิดความตระหนัก มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของคุณค่าที่แท้จริงของการบริโภคอาหาร เลือกสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่พอดี ก็น่าจะช่วยให้นโยบาย “อาหารปลอดภัย” สำเร็จลุล่วง และคนไทยก็จะมีสุขภาพดีถ้วนหน้าได้
ไม่มีความเห็น