กิเลส เป็นสิ่งไม่ดีที่เราถูกพร่ำสอนให้ไกลห่าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะวนเวียนดำเนินควบคู่ไปกับทุกจังหวะของชีวิตที่เราก้าวเดิน เขาว่ากิเลส มันหอมหวานนัก ซึ่งหลายท่านก็ได้ประจักษ์แล้วว่าจริงหรือไม่ คนเราติดรสความหวาน ดังนั้นไม่แปลกที่คนเราจะหลงไปกับสิ่งนี้ บางคนเพียงแค่พาตัวเองเข้าไปลิ้มชิมมัน ก็ถึงขนาดที่ไม่สามารถพาตัวเองดิ้นให้หลุดจากมันได้ สิ่งที่ทำให้คนเราห่างไกลจากกิเลสที่ถูกหาว่าเป็นอำนาจฝ่ายต่ำนั้น คงต้องใช้สิ่งที่ปลูกฝังพร่ำสอน ประสบการณ์จากการถ่ายทอดจากคนที่เคยหลงในวังวนของมันสืบทอดมาเป็นคำสอนให้เราได้หยุดคิด การที่เราหยุดคิด นึกถึงสิ่งเหล่านี้ก็คือ "สติ" นั่นเอง ดังนั้นการที่จะพาตัวเองก้าวขึ้นมาจากอำนาจฝ่ายต่ำ มาอยู่ในฝ่ายสูงนั้น คงต้องใช้ความรอบคอบ คิดทุกขณะก้าวเดิน วิ่ง หรือขับเคลื่อนไปไม่ว่าจะข้างหน้า ข้างหลัง ซ้าย หรือขวา ถึงไม่ทำให้เราพลาดไปได้ ซึ่งคงต้องเป็นสงฆ์ผู้บรรลุธรรมแล้วกระมังที่จะพึงกระทำได้ แต่ปุถุชนเช่นเราที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกระแสความเร่งรีบ แข่งขัน และวังวนแห่งสุขนิยม นิยมที่จะทำให้เกิดสุขแก่เฉพาะตนเท่านั้น จะไม่หลงพลาดไปกับมันนั้นคงไม่มีแน่ ดังนั้นก็คงได้แต่พร่ำบอกแหล่ะ ว่าครองตนอย่าให้ไปเฉียดใกล้มันได้เป็นดี เพราะเมื่อได้ลิ้มแล้ว ท่านต้องหลงไปกับรสของมันเป็นแน่ ท่านจะยังไม่ทุกข์กับมันในขณะที่ท่านกำลังลิ้มลองหรอก แต่ทุกข์จะมาเยือนท่านในรูปแบบใดก็คงแล้วแต่ระดับกิเลสที่ท่านไปสัมผัสกับมันเมื่อหมดความหอมหวาน มิมีใครหรอกที่หวานกับมันไปได้ตลอด เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่วิถีสังคมได้จัดให้มันอยู่ในหมวดหมู่ สิ่งไม่ดี น่ารังเกียจ ชั่วร้าย เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นหนึ่งในสมาชิกคนหนึ่งในสังคม คงสุขอยู่ไม่ได้แน่ หากจะต้องอยู่ในกลุ่มนี้ ฝ่ายต่ำ สุขเมื่อใครไม่รู้ สุข ตื่นเต้นเมื่อแอบทำ แต่ท่านไม่สามารถพาตัวเองมาที่สว่างได้เลย หลบๆ ซ่อนๆ ท่านสุขหรือ ขอให้ใช้สิ่งนี้นะท่าน "สติ" เรียกอำนาจฝ่ายสูงในใจท่านสกัด อำนาจฝ่ายต่ำเอาไว้ ยังไงก็ขอให้อย่าเกิดกับท่านเลย เพราะทุกข์ที่ไหนไม่เจ็บปวดและทรมานเท่าทุกข์ในใจท่านหรอก เพราะมันจะพันธนาการท่านไปตลอดชีวิต "ใช้สติ คิดให้ดีก่อนทำ ก่อนที่ความทุกข์จะเกาะติดแน่นอยู่ในใจท่าน"