“...แม่ต่างหากที่ตามหาลูกไม่เจอ...”


“แม่ต่างหากที่พยายามติดต่อขอบ๊อบบี้กลับมาเลี้ยงหลายครั้งหลายหน แต่ก็หมดหนทาง เบอร์ติดต่ออะไรก็หายไปหมดแล้ว กลับไปร้านที่เคยไปส่งลูกให้พ่อเขา ก็ปิดกิจการไปแล้ว แม่ก็เฝ้าภาวนา คิดว่า บ๊อบบี้คงจะสบายแล้ว เพราะบ้านพ่อเขามีฐานะกว่าแม่มาก”

หลังจากที่ทีม CCL ได้เคยรายงานทั้งเบื้องหลังและความคืบหน้าของเคส “นายบ๊อบบี้ สุทธิบุตร” คนไร้รัฐที่เกิดในสหรัฐอเมริกาจากพ่อแม่คนไทยไปแล้ว ปฏิบัติการต่อมา คือ การสอบปากคำทั้งพี่บ๊อบบี้เองและคุณแม่อุบลวรรณ กีระนันท์ เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงจากปากคำของทั้งคู่ รวมไปถึงพยานหลักฐานทั้งหมดที่ปรากฏ เพื่อนำไปใช้ในการทำคำร้องขอพิสูจน์สัญชาติไทยให้กับพี่บ๊อบบี้ต่อไป

การสอบปากคำใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ณ ห้องประชุมศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้สอบปากคำจากทีม

การสอบปากคำดำเนินไปอย่างง่ายๆ และเป็นกันเอง อาจจะมีบ้างในช่วงแรกๆ ที่คุณแม่ดูมีท่าทีที่ค่อนข้างเคร่งเครียดและเงียบขรึม ผิดกับพี่บ๊อบบี้ซึ่งคุ้นเคยกับทีม CCL แล้วเป็นอย่างดี แต่เมื่อพูดคุยกันไปได้สักระยะ เรื่องราวทั้งหมดที่ไม่เคยมีผู้ใดทราบต้นสายปลายเหตุของการหายตัวไปของผู้เป็นแม่ รวมไปถึงการปล่อยให้ (อดีต) เด็กชายบ๊อบบี้ตกเป็นคนไร้รัฐมาเกือบ 40 ปี ก็ได้ถูกเปิดเผยอย่างละเอียดจากปากของผู้เป็นแม่เอง

คุณแม่เป็นผู้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่ได้เจอกับคุณพ่อที่อเมริกา ได้คบหากัน จนกระทั่งมีพี่บ๊อบบี้ รวมทั้งเหตุการณ์ภายหลังจากกลับมาที่ประเทศไทยแล้ว โดยมีพี่บ๊อบบี้นั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ และตั้งใจฟังเรื่องราวที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เคยทราบมาก่อน หลายครั้งที่คุณแม่ไม่กล้าเล่าบางเหตุการณ์เพราะกลัวจะไปกระทบความรูสึกของผู้เป็นลูก พี่บ๊อบบี้ก็ได้แต่บอกคุณแม่อยู่ตลอดว่า “ไม่เป็นไรครับ เล่ามาเถอะ ผมรับได้”

นอกจากคำบอกเล่า คุณแม่ยังพกรูปถ่ายสมัยที่พี่บ๊อบบี้ยังเป็นเด็กมาเต็มกระเป๋า ทั้งตอนที่พี่บ๊อบบี้อยู่ที่อเมริกา และตอนที่อยู่บ้านคุณยายที่เมืองไทย จากรูปถ่ายที่แม้จะเก่าแต่คุณแม่เก็บรักษาไว้อย่างดีตลอด 30 กว่าปี แค่นี้ก็สามารถบรรยายถึงความรักอมตะของคุณแม่คนนี้ได้แล้ว

บรรยากาศของการสอบปากคำมีทั้งความรู้สึกเศร้าและความรู้สึกตื้นตันใจคละเคล้ากันไป และคำบอกเล่าบางคำจากปากคุณแม่และพี่บ๊อบบี้ก็ถึงกับทำให้ผู้สอบปากคำพูดไม่ออกไปหลายนาทีเหมือนกัน

“นี่เป็นงานวันเกิดของตัวผม ที่ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะเนี่ย” พี่บ๊อบบี้พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หลังจากเห็นรูปตัวเองตอนอายุประมาณ 3 ขวบ กำลังตัดเค้กวันเกิด ตอนที่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา

“ตอนกลับมาเมืองไทย บ๊อบบี้เขายังพูดไทยไม่ได้เลย แม่อยากให้เขาเรียนอินเตอร์ แต่ค่าเรียนมันแพงแม่ส่งไม่ไหว คิดว่าถ้าอยู่กับพ่อเขาแล้วบ๊อบบี้จะสบาย ได้เรียนสูงๆ แต่ที่ไหนได้… ไม่นึกว่าต้องมาเห็นลูกตัวเองออกทีวีในลักษณะแบบนี้ เขาให้สัมภาษณ์ว่า บ๊อบบี้ขายข้าวแกง แม่ก็ตกใจมาก นึกว่าลูกแม่จะเป็นอาจารย์ เป็นหมอไปแล้ว”

“แม่ต่างหากที่พยายามติดต่อขอบ๊อบบี้กลับมาเลี้ยงหลายครั้งหลายหน แต่ก็หมดหนทาง เบอร์ติดต่ออะไรก็หายไปหมดแล้ว กลับไปร้านที่เคยไปส่งลูกให้พ่อเขา ก็ปิดกิจการไปแล้ว แม่ก็เฝ้าภาวนา คิดว่า บ๊อบบี้คงจะสบายแล้ว เพราะบ้านพ่อเขามีฐานะกว่าแม่มาก”

“หากแม่รู้ว่าลูกแม่จะต้องมาลำบากแบบนี้ แม่ก็จะขอเป็นคนเลี้ยงเขาเองดีกว่า”

หมายเลขบันทึก: 77292เขียนเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2007 23:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2020 19:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • แล้วเมื่อคุณแม่มายืนยันจะทำให้คุณ bobby ได้สัญชาติไทยเลยหรือไม่ครับ?
  • ขอบคุณที่นำเรื่องราวดี ๆ มาแลกเปลี่ยนครับ

ขอบคุณมากค่ะที่สนใจ :)

ไม่แน่ใจว่าพี่ได้อ่านบทความก่อนหน้านี้รึเปล่านะคะ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น เพราะมันเหมือนเป็นบทความที่ต่อกันน่ะคะ

งั้นขอตอบคำถามนะคะ..

พี่บ๊อบบี้มีสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดาค่ะ เพราะคุณแม่พี่บ๊อบบี้เป็นคนสัญชาติไทย เป็นสัญชาติไทยโดยผลของกฎหมายแบบอัตโนมัติค่ะ คือ ไม่ต้องให้ใครมาอนุมัติ

แต่ปัญหา คือ เราต้องพิสูจน์ให้ทางเจ้าหน้าที่เชื่อค่ะ ว่าทั้งคู่เป็นแม่ลูกกันจริงๆ ถ้าพยานเอกสารและพยานบุคคลมีน้ำหนักไม่มากพอ ก็ต้องใช้วิทยาศาสตร์มาช่วย คือ การตรวจ DNA ค่ะ

ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงที่จะไปตรวจ DNA กันอยู่ค่ะ

ขอให้คุถณบ๊อบบี้ได้สัญชาติไทยโดยไว และขอเอาใจช่วยครับ

 

 

ขอให้ทั้งพี่และแม่มีความสุขมากๆค่ะ และจัดการทุกอย่างได้สำเร็จค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท