“เกือบ 40 ปีที่รอคอยของ (อดีต) เด็กชายบ๊อบบี้ สุทธิบุตร”


เหตุของการหายตัวไปของผู้เป็นแม่ไม่สำคัญเท่าไรนัก แต่ผลคือการที่แม่กลับมาเรียกร้องสัญชาติไทยให้กับลูกในอกของตนเองที่กำลังเดือดร้อนต่างหากที่น่ายกย่อง

Name of Child : Bobby Suthibutr

Date of Birth : May 26, 1969

Place of Birth : Queens of Angels Hospital, Los Angeles, USA.

Mother of Child : Ubolvan Kiranan

Race of Mother : Thai

Father of Child : Chavangsakdi Suthibutr

Race of Father : Thai 

ข้อมูลจากเอกสารรับรองการเกิดของเด็กชายไทยตัวน้อยที่ได้ไปถือกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2512 จากพ่อแม่ที่เป็นคนไทย หากพิจารณาเพียงแค่นี้ก็คงไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ซึ่งจะว่าไปแล้ว ในปีนั้นใครที่ได้มีโอกาสไปอยู่และได้ไปเรียนที่เมืองนอกก็คงจะรวยใช่ย่อย แถมยังไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลที่นั้นอีกต่างหาก ลูกที่เกิดมาก็น่าจะเพียบพร้อมทุกอย่าง 

แต่ชะตาชีวิตกลับผลิกผัน เรื่องราวของ “เด็กชายบ๊อบบี้ สุทธิบุตร” ไม่ง่ายดายขนาดนั้น...  

จริงอยู่ที่พ่อแม่ของเด็กชายบ๊อบบี้คงจะต้องมีฐานะพอสมควร ถึงจะสามารถไปอาศัยอยู่และร่ำเรียนในประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาได้ในยุคสมัยนั้น แต่แค่นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะการันตีความสุขของเด็กชายตัวน้อยคนนี้ได้เลย ชีวิตของเด็กชายบ๊อบบี้ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อพ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่เขายังจำความไม่ได้ และเมื่อทั้งสามคนกลับมาประเทศไทย ขณะนั้นเด็กชายบ๊อบบี้มีอายุได้ประมาณ 4-5 ขวบ แม่ก็ได้นำเขามาฝากไว้กับครอบครัวฝ่ายชายด้วยเหตุผลสำคัญบางประการ จากนั้นแม่ก็ได้หายตัวไปโดยไม่เคยมีใครทราบรายละเอียดใดๆ อีกเลย สมบัติชิ้นเดียวจากแม่เหลือไว้ให้ ก็คือ สำเนาใบรับรองการเกิดจากโรงพยาบาลที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหลักฐานเพียงอย่างเดียวที่ระบุชื่อแม่และความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายบ๊อบบี้กับแม่เอาไว้ 

เด็กชายบ๊อบบี้อยู่ในความดูแลของปู่กับย่ามาโดยตลอด เนื่องจากพ่อมีครอบครัวใหม่หลังจากแยกทางกับแม่ วันเวลาล่วงเลยจนเด็กชายบ๊อบบี้เติบใหญ่เป็นชายวัยกลางคนอายุสามสิบปลายๆ โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าแม่ของตนคือใคร และที่แย่ไปกว่านั้น คือ ตลอดเวลาเกือบ 40 ปี นับตั้งแต่กลับเข้ามาประเทศไทย พี่บ๊อบบี้ไม่เคยมีเอกสารสักชิ้นที่ออกโดยรัฐบาลไทยที่จะมาระบุความมีตัวตนของเขา ไม่ว่าจะเป็นสูติบัตร, บัตรประกันสุขภาพ หรือแม้แต่บัตรประชาชน นั่นก็หมายความว่า ประเทศไทยไม่เคยรับรู้การมีตัวตนอยู่ของ “นายบ๊อบบี้ สุทธิบุตร” เลย เขาไม่เคยถูกนับว่าเป็น 1 ใน 70 ล้านคนของประชากรไทย และความแตกต่างก็ยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นในครอบครัวสุทธิบุตรเอง เนื่องจากทุกคนในครอบครัวมีสิ่งที่พี่บ๊อบบี้ไม่เคยมี นั่นก็คือ สัญชาติไทย 

ความพยายามในการเรียกร้องสิทธิในสัญชาติไทยของ (อดีต) เด็กชายบ๊อบบี้ สุทธิบุตร ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังตั้งแต่ที่เขาได้มีโอกาสพบกับท่านอาจารย์พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร และทีมให้ความช่วยเหลือคนไร้รัฐไร้สัญชาติ (CCL) แห่งศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

“การที่เราจะดูว่า เด็กคนหนึ่งที่เกิดมาจะได้สัญชาติไทยหรือไม่นั้น มีหลักใหญ่ให้พิจารณา 2 หลัก คือ หลักดินแดนและหลักสืบสายโลหิต อย่างกรณีคุณบ๊อบบี้นี่ หลักดินแดนตัดทิ้งไปได้เลย เพราะเขาเกิดที่อเมริกา แต่เมื่อมาพิจารณาตามหลักสืบสายโลหิตแล้ว ก็จะพบว่าคุณบ๊อบบี้ไม่สามารถได้สัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากบิดา  เนื่องจากพ่อกับแม่ของคุณบ๊อบบี้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน พ่อของคุณบ๊อบบี้จึงไม่ใช่พ่อที่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อมาพิจารณาตามหลักสืบสายโลหิตจากมารดา มีความเป็นไปได้สูงหากคุณบ๊อบบี้มีคุณแม่มายืนยันความเป็นแม่ – ลูก กันจริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม่ของคุณบ๊อบบี้ก็หายตัวไปอีกภายหลังที่พาคุณบ๊อบบี้กลับมาจากอเมริกา มีเพียงเอกสารรับรองการเกิดจากโรงพยาบาลที่อเมริกาที่ระบุชื่อแม่และความสัมพันธ์ของคุณบ๊อบบี้กับแม่เอาไว้ ซ้ำร้ายเมื่อนำกลับมาค้นในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของประเทศไทย กลับไม่พบซะอีกว่าคนๆ นี้มีตัวตนจริง หนทางจึงดูจะลางเลือนมาก ณ ตอนนี้ทางออกจึงมีให้เลือกได้เพียง 2 ทาง คือ ทางที่ 1 ทำให้คุณบ๊อบบี้ได้สถานะทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน โดยใช้ “ระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการสำรวจและจัดทำทะเบียนสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน พ.ศ. 2548” ซึ่งผลตามหลักการก็คือ คุณบ๊อบบี้จะมีชื่ออยู่ทะเบียนประวัติสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ที่เรียกว่า “ทร. 38 ก.” และได้รับบัตรประจำตัวไว้แสดงตน ส่วนสิทธิในสัญชาติไทยนั้นเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อไป ทางที่ 2 คือ การรอให้เกิดการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พรบ.สัญชาติ ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในกระบวนการนำเสนอร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้อยู่ และหนึ่งในเนื้อหาที่มีการปรับแก้นั้น จะเป็นประเด็นของลูกพ่อไทยที่เกิดในต่างประเทศ และหากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่าน ก็จะส่งผลให้คุณบ๊อบบี้สามารถได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดา ซึ่งทางออกทั้ง 2 ทางนี้ ก็ดูจะใช้ระยะเวลาพอสมควรทีเดียว” คำบอกเล่าถึงหนทางในการแก้ไขปัญหาจากทีม CCL 

อย่างไรก็ดี ภายหลังที่ท่านอาจารย์พันธุ์ทิพย์และทีม CCL ได้พาพี่บ๊อบบี้และเคสอื่นๆ ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน เข้าร่วม “งานแถลงนโยบายของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต่อสาธารณชน” ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ที่ผ่านมา พี่บ๊อบบี้ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักข่าว โดยเฉพาะทาง ITV เพราะพี่บ๊อบบี้เป็นลูกของพ่อแม่ไทยแท้ๆ ที่ถือบัตรประชาชนไทยทั้งคู่ แต่กลับไม่ได้สัญชาติไทยจนกระทั่งอายุเกือบ 40 ปี 

ปาฏิหาริย์แรกก็เกิดขึ้น เมื่อทาง ITV นำโดยคุณสุมนา แจวเจริญวงศ์ ได้ถ่ายทำเรื่องราวจากชีวิตจริงของพี่บ๊อบบี้และได้นำสกู๊ปออกมาถ่ายทอดทาง ITV เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ช่วงข่าวภาคค่ำ เวลา 18.00 น. – 19.00 น. เป็นความบังเอิญที่น่ายินดีที่คุณแม่ของพี่บ๊อบบี้ได้นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ วันนั้น เวลานั้น และเปิดช่อง ITV พอดี เมื่อเห็นว่าลูกของตนกำลังเดือดร้อน คุณแม่ไม่รอช้าที่จะติดต่อกลับมาทาง ITV ระบุว่า ตนเองคือแม่แท้ๆ ของพี่บ๊อบบี้และยินดีให้ความช่วยเหลือลูกของตนทุกประการ เพื่อชดเชยในหน้าที่ที่ตนไม่ได้ทำมาหลายสิบปี 

เหตุของการหายตัวไปของผู้เป็นแม่ไม่สำคัญเท่าไรนัก แต่ผลคือการที่แม่กลับมาเรียกร้องสัญชาติไทยให้กับลูกในอกของตนเองที่กำลังเดือดร้อนต่างหากที่น่ายกย่อง  

นี่แหละ “สัญชาตญาณของความเป็นแม่” เมื่อรู้ว่าลูกมีปัญหา แม่ก็พร้อมออกมาปกป้องลูกเสมอ 

หากผลทั้งหมดออกมาตามที่คาดการณ์ไว้ พี่บ๊อบบี้ก็จะถูกเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านของคนสัญชาติไทย (ทร.14) ของผู้เป็นแม่ได้เลย และพี่บ๊อบบี้ก็จะได้บัตรประชาชนคนไทย อย่างที่ลูกพ่อแม่ไทยคนอื่นๆ มีกัน นั่นก็หมายความว่า พี่บ๊อบบี้จะได้สัญชาติไทยทันที ซึ่งจะใช้เวลาเพียงแค่อึดใจเดียวสำหรับการเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ 

การดำเนินการขั้นต่อไปของทีม CCL คือ สอบปากคำพี่บ๊อบบี้และคุณแม่ เพื่อทำคำร้องขอพิสูจน์สัญชาติไทยให้กับพี่บ๊อบบี้ต่อไป ความสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของพยานเอกสารและพยานบุคคลที่ทั้งพี่บ๊อบบี้และคุณแม่รวบรวมได้ มิเช่นนั้นทางออกสุดท้ายที่เหลืออยู่ คือ การพิสูจน์ DNA 

ปาฏิหาริย์สุดท้ายที่จะเกิด ก็คงต้องขอให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีด้วยความราบรื่น  

การรอคอยที่แสนจะยาวนานของพี่บ๊อบบี้จะได้สิ้นสุดลงซะที.. (สาธุ) 

สุดท้ายทีมงาน CCL และท่านอาจารย์พันธุ์ทิพย์ อยากให้สังคมเอาใจช่วยพี่บ๊อบบี้และการปฏิบัติการครั้งนี้  

ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอขอบคุณ “ITV สื่อเพื่อสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย"

หมายเลขบันทึก: 77288เขียนเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2007 23:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2020 19:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท