ญี่ปุ่นมีระบบการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมากว่า 200 ปี
รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นก็มีฉบับเดียวที่เขียนโดยคนอเมริกัน หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม น่าสนใจที่เป็นการเขียนรัฐธรรมนูญโดยวิธีคิดแบบตะวันตก แต่ใช้เป็นแนวทางการปกครองสังคมตะวันออก (ของไทยเขียนเท่าไรก็ถูกอ้างว่า ไม่เหมาะกับคนไทยสักที จึงต้องแก้กันหลายรอบ เป็นปัญหาที่กฎหมาย หรือที่คน (คนเขียน คนใช้ หรือ คนถูกใช้))
โรงเรียนที่ญี่ปุ่นอยู่ในความดูแลของการปกครองส่วนท้องถิ่น นักเรียนญี่ปุ่นแต่ละคนจ่ายค่าเล่าเรียนไม่เท่ากัน ลูกคนรวยต้องจ่ายแพงกว่าลูกคนจน ถือว่าเป็นการอุดหนุนข้ามกัน คือ คนรวยช่วยคนจน ที่ทำได้เพราะท้องถิ่นมีฐานข้อมูลรายได้ของทุกๆคนในพื้นที่ ก็จะส่งข้อมูลให้โรงเรียนเก็บสตางค์ค่าเล่าเรียน
เป็นการสร้างความเท่าเทียมในระบบการศึกษาแบบหนึ่ง
"ขอโทษ"
โรงเรียนญี่ปุ่นและครอบครัวญี่ปุ่นเข้มงวดเรื่องวินัยมาก โดยเฉพาะวินัยที่สอนให้คนอยู่ร่วมกัน โดยร่วมมือกัน และไม่สร้างผลกระทบต่อคนอื่น พ่อแม่ตบลูกแรงๆเพียงเพื่อให้รู้จัก "ขอโทษและสำนึกผิด" ซึ่งเป็นคำที่คนไทยพูดไม่เป็น (นอกจากจะสำนึกผิดไม่เป็นแล้ว ยังอาจโยนความผิดไปให้คนอื่น)
"พยายามเต็มที่"
เด็กๆถูกวัดผลที่ความขยัน และความตั้งใจ มากกว่าความฉลาด ในห้องเรียนหนึ่งห้อง จึงมีเด็กได้เกรดสี่เต็มไปหมด
เด็กไทยบางคนคุยโวว่า ขนาดไม่ได้อ่านหนังสือยังทำข้อสอบได้ (แสดงว่าเก่ง) แต่ญี่ปุ่นจะมองว่า ถึงเก่งแต่ไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นความสูญเปล่าของสังคม
ในขณะที่คนเก่งไม่หลงตัวกับความเก่ง แต่ต้องหันมาพยายามให้มากขึ้น คนไม่เก่งก็มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากได้โดยใช้ความพยายามของตน
ญี่ปุ่นแทบไม่เคยอวยพรด้วยคำว่า "ขอให้โชคดี" "ขอให้รวย" มีแต่คำว่า "ขอให้พยายาม" "สู้ให้เต็มที่นะ"
ปัญหาความเครียด
แต่ญี่ปุ่นก็มีปัญหาความเครียด เด็กฆ่าตัวตายสูงขึ้น ครูทำร้ายเด็ก เด็กโตทำร้ายเด็กที่อ่อนแอกว่า
แม้ระบบโรงเรียนไม่สนับสนุนการแข่งขันในการเรียน แต่เมื่อกำลังจะเข้าสู่มหาวิทยาลัย เด็กจำนวนมากต้องแย่งที่นั่งเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยดังๆ อย่างไรเสีย ความจำกัดของทรัพยากรก็ทำให้หลีกหนีการแข่งขันไปไม่พ้น ญี่ปุ่นจึงเป็นต้นตำรับของโรงเรียนกวดวิชา
สังคมที่ตึงเกินไปแบบญี่ปุ่น กับสังคมที่หย่อนเกินไปแบบไทย น่าจะจับรวมกันหารสอง
อ.ครับ ผมมาเปิดบล๊อคใน gotoknow แล้วนะครับ
แต่อยากจะแลกเปลี่ยนหน่อยหนึ่งน่ะครับ ... ผมคิดว่า ความเครียดของการแข่งขัน เกิดขึ้นเพราะเราแข่งขันกับคนอื่น มากกว่า เพราะเราแข่งขันกับตัวเองนะครับ
และเกิดจากการที่เราแข่งไปหาเป้าหมายที่คนทั้งสังคมต้องวิ่งไปถึง ...
ผมแอบคิดเล่นๆว่า จริงๆแล้วเป้าหมายของคนในสังคมก็ถูกกำหนดมาโดยค่านิยมและสังคม จึงไม่แปลกที่คนไทยส่วนใหญ่ หรือ คนญี่ปุ่น จะมีเป้าหมายคล้ายกัน และนั่นนำมาซึ่งความจำกัดของพื้นที่ ที่คนในสังคมจะไปยืนอยู่ตามเป้าหมายของตน
แต่ถ้าสังคมกระตุ้นให้คนมีฝันเป็นของตัวเองเล่า?
ถ้าระบบการศึกษา ส่งเสริมให้คนมีฝัน และแนะช่องทางไปตามฝันให้เด็กได้ อย่างทั่วถึง หลากหลาย ทุกแขนง และมีระบบการวัดผลที่ดูจากความพยายามของตนเอง (คือแข่งกับตัวเอง เหมือนที่อาจารย์เล่าให้ฟังมันน่าจะดีนะครับ)
แต่เรื่องนี้รัฐอาจต้องเข้ามามีบทบาทในการแทรกแซงสถาบันและระบบแรงจูงใจต่างๆในระบบเศรษฐกิจและสังคม เพื่อไม่ให้แรงจูงใจในสังคมมันขมวดไปที่ภาคเศรษฐกิจบางภาค หรือค่านิยมทางสังคมบางอย่าง
แต่ดูจะฝันไปหน่อยนะครับ ;p