“ต้านลมหนาวสานปัญญา” เป็นกิจกรรมที่พรรคชาวดินของมหาวิทยาลัยมหาสารคามริเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2538 และร่วมแรงใจจัดกิจกรรมต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน
โครงการต้านลมหนาวสานปัญญา จัดขึ้นโดยมีภาพลักษณ์กิจกรรมหลัก ๆ อยู่ 2 ประการ เป็นภาพลักษณ์อันเด่นชัดและสอดรับกับชื่อกิจกรรมอย่างชัดแจ้ง กล่าวคือ กิจกรรมดังกล่าวมุ่งให้บริการ (SERVICE) ต่อชุมชนในช่วงฤดูหนาวโดยการมอบเครื่องกันหนาวให้กับชาวบ้านและนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงการอาสาสมัครเข้าไปพัฒนาสาธารณะประโยชน์แก่ชุมชนและโรงเรียน ตลอดจนการเสริมสร้างและแต่งเติมสื่อการเรียนการสอนทั้งในบทบาทของการผลิตใหม่ และปรับปรุงในสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มีสภาพพร้อมใช้งานและก่อเกิดประโยชน์ต่อนักเรียนตัวน้อยที่สุด
<div style="text-align: center"></div>ครั้งนี้พรรคชาวดิน จับมือกับองค์กรนิสิตอีกหลายองค์กรร่วมแรงแข็งขันสัญจรไปจัดกิจกรรมที่โรงเรียนบ้านห้วยข่าเฒ่า ต.ท่าใหญ่ อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ ซึ่งองค์กรนิสิตเหล่านั้น ได้แก่ พรรคช่อราชพฤกษ์ ชมรมนอกหน้าต่าง ชมรมวิทยุสมัครเล่น โดยมีกองกิจการนิสิต มมส เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิดและเป็นกันเอง <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ภาพการรวมตัวขององค์กรเหล่านี้ผมถือว่าเป็นปรากฏการณ์สำคัญในถนนสายกิจกรรมที่สะท้อนถึงความร่วมมือ (cooperation) ขององค์กรที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากในอีกไม่ช้าบางองค์กรก็ต้องลงแข่งขัน (competition) รับสมัครเป็นองค์การนิสิตของมหาวิทยาลัย ซึ่งผมเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “เปิดใจ เปิดทาง ถากถางเส้นทางสู่สังคม” และถือว่ากิจกรรมนี้ เป็นกลไกบ่มเพาะให้นิสิตเติบโตไปเป็นผู้นำที่มีภาวะผู้นำ (leadership) อย่างแนบเนียน</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>
(ภาพผู้แทนนิสิตส่งมอบทีนอนใหม่เอี่ยม จำนวน 20 ชุดและผ้าห่มใหม่เอี่ยม จำนวน 50 ผืนต่อครูในโรงเรียน)
โรงเรียนบ้านห้วยข่าเฒ่าเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึงระดับชั้นประถม 6 มีนักเรียน 47 คนและครูอีก 3 คน มีอาคารเรียนหลังเก่าทรุดโทรมอีก 1 หลังเป็นห้องเรียน ห้องสอนและห้องพักครู ซึ่งสภาพเช่นนี้คือภาพฟ้องที่บ่งชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าโรงเรียนแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากความเจริญ ทุรกันดาร ข้นแค้น และเผชิญต่อภัยหนาวอย่างเหน็บหนาว
เมื่อครั้งที่นิสิตเดินทางไปสำรวจค่ายพบเรื่องราวสะเทือนใจในความลำบากของเด็กอนุบาลเกือบ 10 คนซึ่งต่างก็ไม่มีเครื่องนอนปะทังความหนาวเย็น ทุกคนนอนขดตัวอยู่บนสาด (เสื่อกก) ผืนเก่าที่เปื่อยยุ่ย
(ผอ.กองกิจการนิสิตส่งมอบอุปกรณ์การเรียนแก่นักเรียนและชุมชน)
ที่นี่อาหารกลางวันไม่เพียงพอ ถ้าเป็นหน้าร้อนนักเรียนต้องกรอกน้ำใส่ขวดมาดื่มที่โรงเรียน ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอนและอื่น ๆ อีกมากมาย และเมื่อผมได้มีโอกาสไปเยือน ซึมซับกับภาพชีวิตอันเป็นชะตาชีวิตเหล่านี้ก็ไม่แปลกใจเลยว่า “ทำไมครูหลาย ๆ คน จึงได้ตัดสินใจย้ายออกไปจากที่นี่เกือบหมดแล้ว”
ที่นี่อากาศหนาวเย็นมาก... กลางคืนลมหนาวพัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง แดดอุ่นฉายส่องก็ตอนเกือบ 10 นาฬิกา น้ำดื่มเย็นโดยไม่ต้องพึ่งน้ำแข็ง
<p> </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">วันเวลา 1 คืนกับ 2 วันดูน้อยนิดและเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องลงมือทำให้กับโรงเรียนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมรั้วโรงเรียน ซ่อมประตู หน้าต่าง ซ่อมบันได ซ่อมกระดานดำ จัดตู้หนังสือ จัดบอร์ด ตกแต่งห้องเรียนและทำความสะอาดอาคารเรียน และอื่น ๆ อีกมากมาย</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>
ผมมีโอกาสได้ไปนิเทศกิจกรรมนี้, ได้เห็นความตั้งใจของนิสิตบนภาระอันล้นบ่า ได้เห็นความทุรกันดารและความด้อยโอกาสที่เกาะกุมติดแน่นอยู่ในแววตาของนักเรียน ได้สัมผัสกับความโหดร้ายของสายลมหนาวที่ดูจะยาวนานและหน่วงหนัก
ได้เห็นถนนลูกรังที่ยากต่อการพัฒนา ได้เห็นรถอีแต๋นบรรทุกอ้อยวิ่งผ่านทะเลฝุ่นอันคลุ้งหนา ได้เห็นบ้านเรือนร้างคนและความเงียบของหมู่บ้านอันไกลโพ้นจากความเจริญ
ผมเห็นความเคยชินของผู้คนที่นั่นที่เฉยชาต่อชะตาชีวิต แต่ยังปรารถนาเห็นไฟฟันของคนที่นั่นที่มีต่อการพัฒนาโรงเรียนและหมู่บ้านสืบต่อไปอย่างไม่รู้จาง
ผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า... “จะดีไหม ถ้าเราจะกลับไปที่นั่นกันอีกสักครั้ง
ปลายมกรา, 50
ลมหนาวที่หนาวเสียดแทง
หนองบัวแดง, ชัยภูมิ
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p></span>
น่าสนุกนะครับ ออกค่ายคิดถึงวัยเรียนก็เคยออกค่ายเหมือนกันครับ ผมเห็นด้วยนะครับเมื่อเราไปทำอะไรไว้น่าจะกลับไปดูอีกครั้งกับผลงานที่ทำไว้นะครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง ชีวิตของชาวบ้านก็คงเป็นชีวิตที่ราบเรียบ เป็นชีวิตที่มีความสงบเงียบ เป็นกำลังใจให้นะครับสำหรับการสร้างนิสิตให้เป็นผู้นำในสังคมต่อไปในอนาคต
อาจารย์แผ่นดิน ที่เคารพ
สารภาพตามตรงว่า ครูแป๋มเพิ่งมีโอกาสได้อ่านบันทึกอันทรงคุณค่านี้เป็นครั้งแรก ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ได้ให้ไกด์ลายมานะคะ
ชีวิตสมัยเป็นนักศึกษาวิชาชีพครู จะอยู่ชมรมค่ายอาสาพัฒนามาตลอด เกิดแรงบันดาลใจอันสูงส่ง ก่อเกิดอุดมการณ์อันแรงกล้า ที่จะร่วมสานฝันให้เป้าหมายของการพัฒนาการศึกษาของเราพบกับความสำเร็จอย่างแท้จริง
ปัจจุบันแม้ต้องต่อสู้กับแรงต้านที่อยู่รอบตัว ขอเพียงได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ บวกเสียงหัวเราะที่สดใส เปี่ยมด้วยความหวัง แค่นี้ก็พอแล้วค่ะสำหรับ "ครูแป๋ม"
สวัสดีครับ..ครูแป๋ม
ผมดีใจที่เห็นครูแป๋ม..ตามรอยมาถึงบันทึกนี้ เพราะที่หมู่บ้านแห่งนี้มีเรื่องราวมากมายที่ควรค่าต่อการศึกษาและจดจำเป็นที่สุด รวมถึงหยาดเหงื่อและแรงใจของนิสิตจำนวนเพียงไม่กี่คน ที่ดิ้นรนหาเงินหาทองไปช่วยนักเรียนในโรงเรียนที่ขาดแคลน
นี่เป็นครั้งแรกที่ต้านลมหนาวสานปัญญา เปลี่ยนแนวทางจากองค์กรเดียวมาสู่หลายๆ องค์กร โดยมีมหาวิทยาลัยกระโจนเข้าไปร่วมคิดร่วมทำกับนิสิต
การออกไปติดตามของผมและทีมงาน เป็นการไปให้กำลังใจเสียมากกว่า...
และนี่คือเรื่องเล่าอันไม่รู้จบของผม..ซึ่งรวมถึงนิสิตด้วยเช่นกัน
ขอบคุณครับ