สุพรรณี เปียวนาลาว- คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
วารี กังใจ- คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
รัชนีภรณ์ ทรัพย์กรานนท์ – Utha University
ไพรัตน์ วงษ์นาม – คณะศึกษาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วัตถุประสงค์
-
เพื่อศึกษาผลของการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุภาวะน้ำหนักเกินดดยประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ
วิธีการวิจัย
- เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบศึกษา 2 กลุ่มวัดซ้ำ
กลุ่มตัวอย่างปเนผู้สูงอายุภาวะน้ำหนักเกินที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตำบลนาป่า
อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จำนวน 20 คน
สุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 10 คน
กลุ่มทดลองได้รับการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพเป็นรายกลุ่ม
ตามขั้นตอนของแผนการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มควบคุมได้รับวิธีปกติ
ระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการชั่งน้ำหนัก
-สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำประเภทหนึ่งตัวแปรระหว่างกลุ่มและหนึ่งตัวแปรภายในกลุ่มและเปรียบเทียบพหุคูณแบบนิวแมน
– คูลส?
ผลการศึกษา
1.
กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้โอกาสการเกิดโรคจากภาวะน้ำหนักเกินหลังการทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่ากลุ่มควบคุม
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการรับรู้โอกาสการเกิดโรคจากภาวะน้ำหนักเกินภายในกลุ่มทดลองพบว่า
ระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่าก่อนการทดลอง
ส่วนระยะหลังการทดลองกับระยะติดตามผล ไม่แตกต่างกัน
2.
กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความรุนแรงของภาวะน้ำหนักเกินหลังการทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนระยะติดตามผล
ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม
ส่วนภายในกลุ่มพบว่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความรุนแรงของภาวะน้ำหนักเกินก่อนการทดลอง
หลังการทดลองและระยะติดตามผลไม่แตกต่างกัน
3.
กลุ่มทดลองมีการรับรู้ประโยชน์จากการมีพฤติกรรมสุขภาพในการควบคุมภาวะน้ำหนักเกินหลังการทดลองไม่แตกต่างกลุ่มควบคุม
ส่วนระยะติดตามผลคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ประโยชน์จากการมีพฤติกรรมสุขภาพในการควบคุมภาวะน้ำหนักเกินสูงกว่ากลุ่มควบคุม
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ส่วนภายในกลุ่มคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ประโยชน์จากการมีพฤติกรรมสุขภาพในการควบคุมภาะน้ำหนักเกินหลังการทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่าก่อนการทดลอง
ส่วนคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ประโยชน์จากการมีพฤติกรรมสุขภาพในการควบคุมภาวะน้ำหนักเกินหลังการทดลองกับระยะติดตามผล
ไม่แตกต่างกัน
4.
มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างวิธีการทดลองกับระยะเวลาการทดลองต่อคะแนนเฉลี่ยการรับรู้อุปสรรคจากการมีพฤติกรรมสุขภาพในการควบคุมภาวะน้ำหนักเกิน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กล่าวคือ
ผู้สูงอายุในกลุ่มทดลองมีการรับรู้อุปสรรคจากการมีพฤติกรรมสุขภาพในการควบคุมภาวะน้ำหนักเกินหลังการทดลองและระยะติดตามผลต่ำกว่าก่อนการทดลอง
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ส่วนหลังการทดลองและระยะติดตามผลไม่แตกต่างกัน
เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการรับรู้อุปสรรคจากการมีพฤติกรรมสุขภาพในการควบคุมภาวะน้ำหนักเกิน
หลังการทดลองและระยะติดตามผลทั้งสองกลุ่ม พบว่า
กลุ่มทดลองมีคะแนเฉลี่ยการรับรู้อุปสรรคจากการมีพฤติกรรมสุขภาพในการควบคุมภาวะน้ำหนักเกินทุกช่วงเวลาต่ำกว่ากลุ่มควบคุม
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
5.
มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างวิธีการทดลองกับระยะเวลาการทดลองต่อคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมาสุขภาพในการควบคุมภาวะน้ำหนักเกิน
อย่างมีนับสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กล่าวคือ
ผู้สูงอายุในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพในการควบคุมภาวะน้ำหนักเกินหลังการทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่าก่อนการทดลอง
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ส่วนหลังการทดลองและระยะติดตามผลไม่แตกต่างกัน
เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพโดยการควบคุมภาวะน้ำหนักเกิน
ทุกช่วงเวลาสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05
6.
กลุ่มทดลองมีน้ำหนักตัวหลังการทดลองและระยะติดตามผลไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม
เมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักตัวภายในกลุ่มทดลอง พบว่า
ไม่มีความแตกต่างกันทุกช่วงเวลา
สรุป
- การศึกษาครั้งนี้
แสดงให้เห็นแนวทางในการนำการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ
โดยประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล
ซึ่งจะนำไปสู่การปรับพฤติกรรมสุขภาพและน้ำหนักตัวที่เหมาะสม
จาก การประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 1
เรื่อง บัณฑิตศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศไทย 30-31 มกราคม
2550
ณ อาคารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
ไม่มีความเห็น