ทั้งๆที่เนื้อหาและการทำงานของนักวิชาการ และนักพัฒนาส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงเดี่ยว แทบจะไม่มีการบูรณาการ ที่น่าจะล้มเหลว และเลิกล้มโครงการพัฒนาต่างๆ ยุบหน่วยงานพัฒนาต่างๆ มาเสียตั้งนานแล้ว
แต่มาในระยะหลังๆ ระบบเสื่อมโทรมลงมาก จำเป็นต้องใช้ความรู้ซับซ้อนมากขึ้น ก็อาจเกินขีดความสามารถของภูมิปัญญาของชาวบ้านโดยทั่วไป ที่จะบูรณาการ และพัฒนางานสายเดี่ยวต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงมักพบบ่อยขึ้นว่า การทำงานในพื้นที่ระดับชุมชน บางครั้งประสบกับความล้มเหลว อันเนื่องมาจากการขาดการพิจารณา ภาพรวมหรือองค์รวม ทำให้เผชิญปัญหาที่เป็นอุปสรรค ที่แฝงอยู่ในระบบการทำงานอย่างเป็นปกติธรรมดา
ในทางกลับกัน ถ้านักวิชาการหรือนักพัฒนาได้มีการทำงานแบบบูรณาการ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง และมีโอกาสประสพผลสำเร็จ แม้ชาวบ้านจะขาดความสามารถในการบูรณาการก็ตาม
แต่ถ้าทั้งชาวบ้านและนักวิชาการต่างก็ทำงานแบบบูรณาการแบบเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันทั้งคู่ โอกาสแห่งความล้มเหลวแทบจะเรียกว่าไม่มีเพราะเป็นการทำงานแบบผสมผสานทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิชาการเข้ากับระบบทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งเป็นการประกันความล้มเหลวอย่างแน่นอน
แต่ในปัจจุบัน ความรู้ที่ต้องใช้ในการพัฒนาทั้งหลายนั้น มักเกินขีดความสามารถของชาวบ้านและภูมิปัญญาที่มี แต่นักวิชาการก็ยังเคยชิน ไม่ทำงานแบบบูรณาการอีก จึงทำให้เกิดความผิดพลาดทั้งสองด้าน และนำไปสู่ความล้มเหลวของโครงการในที่สุด
ดังนั้น ถ้าเพียงมีการบูรณาการด้านใดด้านหนึ่ง โอกาสแห่งความสำเร็จก็มีมากอยู่แล้ว เช่น ชาวบ้าน “ที่เข้มแข็ง” สามารถนำสิ่งที่นักวิชาการสายเดี่ยวเสนอแนะเข้าไปใช้ในระบบชีวิตตัวเองได้อย่างเหมาะสม ก็จะไม่มีปัญหา
หรือในทางกลับกัน นักวิชาการที่สามารถนำความรู้ที่มีอยู่ “อย่างบูรณาการ” ไปให้ชาวบ้านที่ไม่สามารถคิดแผนทำงานแบบบูรณาการ (ยังไม่เข้มแข็ง) ก็จะมีปัญหาไม่มาก และมีโอกาสสำเร็จได้มากเช่นเดียวกัน
โดยสรุปแล้ว จะให้ดีที่สุดนั้น
การบูรณาการจึงควรทำทั้งสองทาง
จึงจะได้ผลดีที่สุด
แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ การทำเพียงด้านเดียวก็ยังมีโอกาสสำเร็จได้สูง และสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความล้มเหลวก็คือการขาดการบูรณาการทั้งสองด้านดังกล่าวแล้ว
ฉะนั้น จึงขอให้นักวิชาการทั้งหลาย จงพิจารณาสนับสนุนการทำงานของชุมชนอย่างเป็นระบบ อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเป็นการบูรณาการจากนักวิชาการ หรือบูรณาการร่วมกับชุมชน ก็จะประกันความสำเร็จได้แน่นอน
การเข้าไปทำวิจัยร่วมกับชุมชน โดยการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เรียนรู้แบบปฏิบัติการ และพัฒนาเชิงปฏิบัติการ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับเราจะวิ่งชนกำแพงเมืองจีน
หรือขึ้นไปนั่งตีขิมบนกำแพง ครับ
ตอนนี้เราก็นั่งอยู่บนบนกำแพงครับ แต่ปัญหาคือเราไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก ถ้านานๆไปคนจะมองว่าเราบ้าไปนั่งบนกำแพงอยู่ได้ ตนอื่นเขาคลุกฝุ่นกันอยู่ข้างล่าง
แต่หวังว่าวันหนึ่งเขาเบื่อคลุกฝุ่น และอยากจะหาทางปีนขึ้นมา แล้วเราก็จะบอกทางเขาได้ง่ายขึ้น เพราะเรามองเห็นชัดกว่าครับ
เอกสารนี้ผมเน้นไว้ให้นักศึกษาที่ยังไม่ค่อยเข้าใจหลักบูรณาการอ่านครับ
ครูบา over qualify ครับ
ด้วยความเคารพ
อุทัย อันพิมพ์
คุณอุทัย
กรุณตามไปอ่านเรื่อง "เปิดตำราพิชัยสงครามของซุนวู แล้วจะได้แนวทางครับ
เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า การบูรณาการควรทำทั้งสองทาง
อย่างที่อาจารย์บอกว่าเราอยู่บนกำแพง แต่คนส่วนใหญ่รู้ว่าถ้าทำ 2 ทางแล้วจะดี แต่ก็ไม่ทำ และก็ไม่ให้คนอื่นทำถ้าตนยังไม่ได้ทำ ซึ่งเป็นเยอะในสังคมปัจจุบัน เช่นถ้าขึ้นไปบนกำแพงจะเห็นชัดกว่า แต่ก็พยายามกันไม่ให้คนอื่นขึ้นก่อนตนเอง เพราะการคิดอย่างนี้ถือว่าเป็นการคิดทางเดียว พูดง่าย ๆ เห็นแก่ต้ว หรือบางคนคิดคนเดียว เออคนเดียว แล้วก็เหมาว่าความคิดของตนถูกต้องที่สุดโดยไม่สอบถามจากผู้อื่น หรือ ให้แสดงความคิดเห็นใด ๆ เราต้องหา ฟีดแบคให้ได้
ไม่เป็นไร มหาชีวาลัยเราทำจากเล็กไปใหญ่อยู่แล้ว ล้มยากครับ
เรามีทายาททางความคิดและจิตวิญญาณมากมาย แม้ทางสายเลือดโดยตรงเราจะมีน้อยก็ตาม
นี่เป็นจุดแข็งของเราครับ