ลองดูกรณีของคณิตศาสตร์บ้าง
บางครั้ง เมื่อเจอโจทย์บางรูปแบบ แทนที่เราจะต้องแก้สมการ ก็ปล่อยให้สมการแก้ตัวเอง โดยใช้วิธีที่เรียกว่า recursion
เช่น เจอโจทย์ว่า
x ln x = 10
รูปแบบนี้ แก้ไม่ได้
ถ้าย้ายข้างไปบางส่วน จะได้
x = 10/ln x
คราวนี้ ใช้วิธีเดาค่า x ใส่ด้านขวา จะได้ x ด้านซ้าย
ถ้าเราโชคดีพอ ค่า x ด้านซ้าย จะมีวิวัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น
เราเอาค่า x ที่ได้ใหม่มาแทนกลับเข้าไปอีก ก็จะได้ค่า x ที่ดียิ่งขึ้น ๆ ไป
ถ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ คือเสถียรภาพถึงที่สุด ก็คือเกิดการลู่เข้าหาคำตอบ (convergent) ดังภาพ แกนนอนเป็นครั้งที่เดา แกนยืนคือค่า x ที่ได้ โดยจุดแรกสุด เดา x แบบมั่ว ๆ
ถ้าผมจัดข้างผิดไปจากนี้ล่ะ ?
ปรากฎการณ์จะตรงกันข้าม คือ ค่าที่ได้ จะแกว่งตัวสะบัดหนีออกไปจากจุดที่เป็นคำตอบ (divergent)
กรณีของภาพหลังนี้ ใช้วิธีลำเอียงเข้าข้างสุด ๆ คือใช้ค่าเริ่มต้นที่ดี เกือบตรงคำตอบ แต่โครงสร้างเชิงระบบที่ไม่ดี ก็นำเตลิดเข้ารกเข้าพงไปในที่สุด
จะวิวัฒน์ทั้งที ตั้งต้นดีไม่พอ ต้องมีโครงสร้างเชิงระบบที่ดีด้วย
การทำ recursion เป็นการทำให้คำตอบผุดบังเกิด
แต่เงื่อนไขคือ ต้องมีการจัดการเชิงระบบที่ดี
การจัดการเชิงระบบในที่นี้ คือวิีธีการย้ายข้างตอนจัดเทอมในสมการครับ ว่าจะวางรูปแบบ "การไหล" ของพฤติกรรมของตัวเลขไปแบบไหน
ก็เหมือนกับที่รัฐธรรมนูญจะเป็นตัววางรูปแบบ "การไหล" ของพฤติกรรมคนในสังคม ถ้าจัดวางไว้ดี จากค่าเริ่มต้นที่ "ขี้ริ้ว" ก็จะดีขึ้น เสถียรขึ้น เพราะระบบเอื้อ แต่ถ้าจัดวางรูปแบบไว้ไม่ดี ต่อให้ล็อคสเป็คคนจะเป็นผู้แทนไว้สูงส่งยังไง ไม่ช้าไม่นาน เราก็จะเห็นพฤติกรรมสังคม-การเมือง เป็นไปตามรูปหลัง
จัดการเชิงระบบดียังไม่พอ ยังต้องการค่าเริ่มต้นดีพอประมาณ อย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายจนล้มตั้งแต่ครั้งแรก แล้วโครงสร้างเชิงระบบที่ดีจะช่วยขูดเกลาให้มันดียิ่งขึ้นเอง
ค่าเริ่มต้นดีในที่นี้ คือ ครั้งแรกสุด ต้องเดา x ที่เป็นบวก และมากกว่าศูนย์เท่านั้น ไม่งั้นจะจอดป้ายตั้งแต่ครั้งแรก
นี่เป็นตัวอย่างของการผุดบังเกิดทางคณิตศาสตร์ ซึ่งใช้อธิบายเรื่องการจัดการเชิงระบบได้ดีทีเดียว
ไม่มีความเห็น